อาการปวดเข่าจากการออกกำลังกายนั้น เป็นอาการที่พบได้บ่อยในนักกีฬา รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมการออกกำลังกาย ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงสาเหตุของอาการปวดเข่าจากการออกกำลังกาย ที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน ลักษณะการปวดเข่าจากการเล่นกีฬาในแต่ละประเภท สาเหตุที่ทำไมการรักษาโดยทั่วๆไป ถึงไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร รวมถึงวิธีการรักษาอาการปวดเข่าที่ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ ที่ทำให้ผู้ป่วยหายจากอาการปวด และสามารถกลับไปออกกำลังกายและเล่นกีฬาได้อย่างเต็มที่ดังเดิม
สารบัญเนื้อหา
1. ปวดเข่าจากการออกกำลังกาย เกิดขึ้นจากสาเหตุใด
2. ต้นตอหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดเข่า
4. การรักษาอาการปวดเข่าจากการออกกำลังกายที่ได้ผลและมีประสิทธิภาพ
- อาการปวดเข่าจากการวิ่ง
- อาการปวดเข่าจากการยกเวท
- อาการปวดเข่าจากการเตะฟุตบอล
- อาการปวดเข่าจากการเล่นกีฬาที่มีการกระโดด กระแทก
6. ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจรักษาอาการปวดเข่าด้วยการนวดสลาย trigger point และพังผืด
7. คำแนะนำส่งท้ายสำหรับผู้ที่กำลังมีอาการปวดเข่าจากการออกกำลังกาย
ปวดเข่าจากการออกกำลังกาย เกิดขึ้นจากสาเหตุใด
อาการปวดเข่าจากการออกกำลังกาย หรือ จากการเล่นกีฬา สามารถเกิดจากหลายสาเหตุดังนี้
1. การไม่ยืดเหยียดกล้ามเนื้อหรือเอ็นบริเวณรอบหัวเข่าอย่างเพียงพอในขณะ ก่อน และ หลังการออกกำลังกาย เนื่องจากในเวลาปกตินั้น กล้ามเนื้อของเราจะมีความตึงตัวและขาดความยืดหยุ่น ดังนั้น หากเราออกกำลังกายเลยทันที โดยไม่ได้ทำการยืดเหยียดหรือวอร์มกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นก่อน กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นจะยังไม่พร้อมใช้งาน และสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่าย ส่วนหลังการออกกำลังกายนั้น กล้ามเนื้อและเอ็นได้ผ่านการใช้งานหนักมา ดังนั้นอาจจะมีอาการเกร็งตัวค้างอยู่ หากไม่มีการยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้คลายตัวออก ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดขึ้นได้
2. การออกกำลังกายที่หักโหมจนเกินไป เช่น การวิ่งโดยเพิ่มระยะทางและความเร็วที่มากเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณต้นขาและหัวเข่าถูกใช้งานอย่างหนักจนเกิดอาการล้า โดยหากไม่มีการหยุดพักกล้ามเนื้อ ก็อาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บบริเวณนั้นๆ ได้
3. การออกกำลังกายที่หนักหรือรุนแรงเกินไป เช่น การยกเวท หรือ การทำสควอชโดยใช้น้ำหนักถ่วงที่มากเกินไป อาจส่งผลให้หัวเข่าเกิดการบาดเจ็บ เนื่องจากต้องแบกรับน้ำหนักที่มากเกินพอดี
4. การออกกำลังกายผิดท่า หรือการใช้มัดกล้ามเนื้อที่ผิดลักษณะ ก็สามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเอ็นบริเวณหัวเข่าได้
5. อุบัติเหตุขณะออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา เช่น การหกล้มเข่ากระแทกพื้น การวิ่งบนพื้นที่ไม่เรียบ การได้รับแรงกระแทกบริเวณหัวเข่า การบิดหมุนหัวเข่าอย่างกระทันหัน หรือการบาดเจ็บของข้อเข่าขณะกระโดด เป็นต้น ซึ่งอุบัติเหตุเหล่านี้ล้วนส่งผลให้หัวเข่าเกิดการบาดเจ็บโดยตรง
กลับสู่สารบัญต้นตอหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดเข่า
การออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬาหนักๆ นั้น จะทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นในบริเวณหัวเข่าเกิดถูกใช้งานอย่างหนักจนหดเกร็งตัว และขมวดตัวเป็นก้อนแข็ง หรือที่เรียกว่า trigger point ฝังอยู่ในมัดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นนั้นๆ ซึ่งก้อน trigger point นี้ จะไปขัดขวางการลำเลียงออกซิเจนและสารอาหาร ส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเกิดอาการ ปวด ตึง ล้า และอ่อนแอลง
นอกจากนี้ เมื่อกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณหัวเข่าเกิดการบาดเจ็บ จนอักเสบ ปวด บวม ร่างกายจะเริ่มสร้างพังผืดไปยึดเกาะตามตำแหน่งที่บาดเจ็บทั้งในบริเวณข้อเข่าและบริเวณข้างเคียง โดยพังผืดที่ไปยึดเกาะบริเวณข้อเข่า จะทำให้ข้อเข่าเกิดการติด ยึดล็อก ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บเข่าขณะเคลื่อนไหวในท่าต่างๆ เช่น ขณะเดินขึ้น-ลงบันได หรือมีอาการเสียวแปล็บที่ข้อเข่าขณะเดิน วิ่ง กระโดด รวมถึงอาจทำให้องศาการเคลื่อนไหวของข้อเข่าลดลง เช่น งอขา – เหยียดขาได้ไม่สุด พับเข่าไม่ได้ นั่งยองไม่ได้ นั่งขัดสมาธิ/นั่งพับเพียบลำบาก เป็นต้น
กลับสู่สารบัญบริเวณของหัวเข่าที่มักเกิดการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย
ก่อนที่เราจะพูดถึงบริเวณที่เกิดการบาดเจ็บบ่อยนั้น เรามาทำความรู้จักกับกล้ามเนื้อและเอ็นต่างๆ ที่อยู่บริเวณหัวเข่ากันสักนิด เพื่อจะได้เห็นภาพรวมและเข้าใจกายวิภาคของหัวเข่าเบื้องต้น
กล้ามเนื้อสำคัญบริเวณรอบหัวเข่าจะประกอบไปด้วย
1. Hamstring เป็นกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาด้านหลัง
2. Quadriceps เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาด้านหน้า ซึ่งประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อ 4 มัด คือ
- Vastus medialis เป็นมัดกล้ามเนื้อต้นขาที่อยู่บริเวณแนวขาด้านนอก
- Rectus femoris เป็นมัดกล้ามเนื้อต้นขาที่อยู่บริเวณแนวกลางต้นขา
- Vastus intermedius เป็นมัดกล้ามเนื้อต้นขาชั้นลึกที่อยู่บริเวณแนวกลางต้นขา อยู่ใต้ชั้นกล้ามเนื้อ Rectus femoris
- Vastus lateralis เป็นกล้ามเนื้อต้นขาที่อยู่บริเวณแนวขาด้านใน
3. Gastrocnemius หรือ กล้ามเนื้อน่อง
เอ็นรอบหัวเข่าที่สำคัญจะประกอบไปด้วย
1. เส้นเอ็นหลักภายในข้อเข่า ประกอบด้วยเส้นเอ็นทั้งหมด 4 เส้น ได้แก่
- Anterior cruciate ligament (ACL) หรือ เอ็นไขว้หน่าเข่า
- Posterior cruciate ligament (PCL) หรือ เอ็นไขว้หลังเข่า
- Medial collateral ligament (MCL) หรือ เอ็นเข่าด้านใน
- Lateral collateral ligament (LCl) หรือ เอ็นเข่าด้านนอก
2. เส้นเอ็น Quadriceps femoris เป็นเส้นเอ็นที่เชื่อมระหว่างกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้ากับลูกสะบ้า
3. Patellar tendon หรือ เอ็นใต้ลูกสะบ้า เป็นเส้นเอ็นที่เชื่อมระหว่างกระดูกสะบ้ากับกระดูกหน้าแข้ง
กระดูกข้อต่อของหัวเข่าประกอบไปด้วย
1. Femur หรือ กระดูกต้นขา
2. Patellar หรือ กระดูกสะบ้าเข่า
3. กระดูกหน้าแข้ง ประกอบด้วย
- กระดูก Tibia อยู่บริเวณหน้าแข้งด้านใน
- กระดูก Fibular อยู่บริเวณหน้าแข้งด้านนอก
4. Meniscus หรือ หมอนรองกระดูกเข่า
โดยตำแหน่งของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นต่างๆ ที่มักเกิดการบาดเจ็บที่พบบ่อยจะมีดังนี้
1. กลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณหัวเข่าที่มักพบอาการบาดเจ็บได้บ่อย คือกลุ่มกล้ามเนื้อ Quadriceps เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ในการเหยียดเข่าให้ตรง ซึ่งประกอบด้วย
- กล้ามเนื้อ vastus lateralis
- กล้ามเนื้อ vastus intermedius
- กล้ามเนื้อ rectus femoris
- กล้ามเนื้อ vastus medialis
หากกล้ามเนื้อบริเวณนี้เกิดการบาดเจ็บหรือเกิดอาการหดเกร็ง จะเกิดการดึง ยึดรั้งไปจนถึงข้อเข่า ทำให้เกิดอาการปวดเข่าในทุกๆ อิริยาบถที่กลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณนี้ถูกใช้งาน
2. เส้นเอ็น Quadriceps femoris เป็นเส้นเอ็นที่เชื่อมระหว่างกล้ามเนื้อต้นขากับกระดูกสะบ้า มีหน้าที่ช่วยรักษาความมั่นคงของตำแหน่งสะบ้า หากมีการบาดเจ็บจะส่งผลต่ออิริยาบถที่มีการงอเข่า เหยียดเข่า เช่น การเดินขึ้นบันได หรือ การลุกจากที่นั่ง เป็นต้น
3. เอ็นไขว้หน้าเข่า หรือ Anterior Cruciate Ligament เป็นเส้นเอ็นภายในข้อเข่าที่มักเกิดการบาดเจ็บบ่อยที่สุด เอ็นไขว้หน้ามีหน้าที่ช่วยรักษาความมั่นคงภายในข้อเข่า ป้องกันไม่ให้หัวเข่าบิดหรือหมุนในองศาที่มากเกินไป หากเส้นเอ็นนี้เกิดการบาดเจ็บหรือฉีกขาด จะทำให้การเคลื่อนไหวของข้อเข่าขาดความสมดุล ไม่มั่นคง ผู้ป่วยจะไม่สามารถใช้งานหัวเข่าในการเคลื่อนไหวที่เร็วและแรงได้ดังเดิม เช่น การวิ่งเร็ว การกระโดด เป็นต้น
กลับสู่สารบัญทำไมการรักษาอาการปวดเข่าด้วยการหยุดเล่นกีฬา การทานยา หรือ การทำกายภาพบำบัด ถึงยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
โดยปกติแล้ว เมื่อมีอาการปวดเข่า สิ่งแรกที่เรามักจะทำคือการหยุดกิจกรรมที่ต้องใช้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณหัวเข่า จากนั้นจะทานยาแก้ปวด หรือ ยาลดการอักเสบ โดยหากมีอาการปวดไม่มาก การทานยาจะสามารถช่วยให้อาการดีขึ้นได้ แต่หากทานยาแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์จะแนะนำให้รักษาด้วยการกายภาพบำบัดต่อไป
แต่กลับมีผู้ป่วยหลายเคส ที่ถึงแม้จะผ่านการรักษาด้วยวิธีข้างต้นแล้ว อาการก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร ทำให้ผู้ป่วยเกิดความกังวลใจว่าอาการปวดเข่าที่เป็นอยู่นี้จะหายไหม จะต้องถึงขั้นผ่าตัดไหม ต้องทนอยู่กับอาการปวดนี้ไปตลอดชีวิตหรือไม่ จะสามารถกลับไปใช้งานหัวเข่าได้เต็มที่อีกครั้งได้ไหม คำตอบก็คือ อาการปวดเข่านี้ สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพียงแต่วิธีรักษาที่ผ่านมาอาจยังแก้ไขได้ไม่ตรงจุด เนื่องจากไม่ได้แก้ที่ต้นตอของปัญหา จึงทำให้อาการยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควรนั่นเอง
จากที่ได้อธิบายไปข้างต้นว่า อาการปวดเข่าจากการออกกำลังกาย หรือจากการเล่นกีฬานั้น จะเกิดจากต้นเหตุหลักๆ 2 อย่าง ได้แก่
- ปม trigger point ที่ฝังอยู่ในกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่ถูกใช้งานหนักจากการออกกำลังกาย ที่ไปขัดขวางไม่ให้เลือดสามารถนำพาสารอาหาร และ ออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณนั้นๆ ได้อย่างเต็มที่ และทำให้เกิดอาการ ตึง ปวด ล้า บริเวณกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นหัวเข่า
- พังผืด ที่ร่างกายสร้างขึ้นมา หลังจากที่กล้ามเนื้อหัวเข่าหรือเอ็นหัวเข่าเกิดการบาดเจ็บ โดยพังผืดนี้จะเข้าไปยึดเกาะกล้ามเนื้อและเอ็นที่บาดเจ็บ และมีการเกาะมัดรวมไปกับกล้ามเนื้อและเอ็นบริเวณรอบข้างที่ไม่บาดเจ็บ ส่งผลให้กลุ่มกล้ามเนื้อทั้งกลุ่ม เกิดการยึดล็อค เกร็ง ขาดความยืดหยุ่น เกิดอาการปวด หรือเสียวแปล็บขณะขยับหัวเข่า หรือไม่สามารถขยับหัวเข่าได้มากดังเดิม เนื่องจากมีพังผืดเกาะดึงรั้งอยู่
การหยุดพักเล่นกีฬาหรือหยุดออกกำลังกายนั้น เป็นสิ่งที่ดีและควรทำเมื่อเกิดอาการปวด เพราะกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณหัวเข่าจะได้ไม่บาดเจ็บซ้ำซ้อนเพิ่มขึ้น แต่การหยุดพัก ไม่ได้แก้ต้นตอของอาการปวดออกไป ดังนั้นในผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บค่อนข้างมาก อาจจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้หยุดพัก แต่อาการปวดมักจะกลับมาเมื่อเริ่มกลับไปออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอีกครั้ง
ส่วนการทานยาลดปวด หรือลดอักเสบนั้น เป็นเพียงการระงับอาการปวด หรือการอักเสบไว้ หรืออาจทำหน้าที่ปิดกั้นสารสื่อประสาทไม่ให้ส่งสัญญานไปที่สมองให้รับรู้อาการปวด แต่ยาไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาจากต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวด และอักเสบ ซึ่งก็คือ ก้อน trigger point และ พังผืด
การทำกายภาพบำบัดก็เช่นกัน โดยทั่วไปจะประกอบไปด้วย การคลายกล้ามเนื้อชั้นบน การขยับข้อต่อ และการกระตุ้นให้เลือดไหวเวียนสะดวกขึ้น ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการปวด และอาการอักเสบได้เพียงระดับหนึ่ง มักใช้ได้ผลเฉพาะในเคสที่อาการไม่หนัก และไม่เรื้อรังเท่านั้น ถ้าผู้ป่วยมีอาการหนักหรือเรื้อรังมานาน การทำกายภาพบำบัดมักจะไม่ค่อยได้ผล เพราะผู้ป่วยจะมี ก้อน trigger point และพังผืด กระจายอยู่ค่อนข้างมากและยึดโยงไปทั่ว เกินกว่าที่การกายภาพบำบัดจะรักษาได้
กลับสู่สารบัญการรักษาอาการปวดเข่าจากการออกกำลังกายที่ได้ผลและมีประสิทธิภาพ
การรักษาอาการปวดเข่าที่มีประสิทธิภาพนั้น จะต้องสามารถกำจัดต้นตอของอาการปวดได้ ซึ่งก็คือ ก้อน trigger point และพังผืดที่ยึดเกาะตามข้อเข่าและบริเวณข้างเคียงออก เมื่อ trigger point และ พังผืดถูกสลายออกได้หมด กล้ามเนื้อและเอ็นที่หดเกร็งก็จะคลายตัวออก และกลับมามีความยืนหยุ่นดีดังเดิม เส้นเลือดจะสามารถนำพาสารอาหารและออกซิเจน ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณหัวเข่าได้เต็มที่อีกครั้ง อาการปวด อาการเสียวแปล็บ ก็จะหายไป และไม่กลับมาอีกซ้ำๆ ในอนาคต
โดยเราสามารถแบ่งการรักษาเบื้องต้นตามประเภทของกีฬาได้ดังนี้
1. ปวดเข่าจากการวิ่ง
การรักษาอาการปวดเข่าจากการวิ่งนี้ จะเน้นการสลายพังผืดและจุด trigger point ในบริเวณดังต่อไปนี้
- บริเวณ ITB (iliotibial band) เป็นเนื้อเยื่อที่มีลักษณะคล้ายเอ็นที่ทอดยาวตั้งแต่บริเวณเอวไปจนถึงหัวเข่าด้านนอก ITB จะมีการทำงานหด-ยืดตลอดเวลาขณะที่วิ่ง หรือขณะขึ้นทางชัน หากมีการใช้งาน ITB ที่มากเกินไป หรือ มีการลงเท้าที่ผิดจังหวะขณะวิ่ง ITB จะเกิดอาการบาดเจ็บ เกร็งตัวและอักเสบขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเข่าด้านนอก ร่วมกับอาการปวดร้าวขึ้นแนวต้นขาด้านนอก ในบางเคสอาจมีอาการปวดสะโพกร่วมด้วย ซึ่งอาการ ITBS นี้ มักพบได้บ่อยในนักวิ่งระยะไกล นักวิ่งมาราธอน นักวิ่งเทรล นั่งวิ่งขึ้นเขา นักปีนเขา เป็นต้น อาการปวดเข่าด้านนอกจาก ITB นี้ มักถูกเรียกว่าอาการ Iliotibial band syndrome, ITBS, IT band syndrome หรือ ITB syndrome
- กล้ามเนื้อ Hamstring เป็นกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาด้านหลัง ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยในการงอเข่าและขยับสะโพก ในขณะวิ่งนั้น กล้ามเนื้อ hamstring จะเป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยผลักให้ร่างกายเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ดังนั้นบริเวณกล้ามเนื้อ hamstring นี้ จึงเป็นอีกจุดหนึ่งที่มักเกิดการเกร็งตัว และเกิดอาการปวด ในหมู่นักวิ่ง
- เอ็น Anterior Cruciate Ligament หรือเอ็นไขว้หน้าเข่า เป็นเอ็นหลักสำคัญภายในข้อเข่า ที่ช่วยรักษาความมั่นคงของหัวเข่าขณะเคลื่อนไหวในท่าต่างๆ ซึ่งหากมีการใช้งานที่ผิดจังหวะ อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือฉีกขาด ส่งผลให้ข้อเข่าเกิดความไม่มั่นคงในการใช้งานหรือเล่นกีฬา
- ลูกสะบ้า Patellar บริเวณลูกสะบ้านี้ เป็นอีกตำแหน่งที่พบการบาดเจ็บได้บ่อย เนื่องจากการวิ่งนั้นมักจะทำให้เกิดการเสียดสีระหว่างลูกสะบ้าและเนื้อเยื่อบริเวณรอบข้าง อาการที่พบคือ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเข่าด้านหน้า บริเวณด้านใน หรือใต้ลูกสะบ้า อาการบาดเจ็บบริเวณลูกสะบ้านี้ มักเรียกกันว่าอาการ Runner’s Knees หรือ Patellofemoral pain syndrome (PFPS) หรือโรคผิวสะบ้าอักเสบ
- Meniscus หรือหมอนรองกระดูกเข่า หมอนรองกระดูกเข่านี้ มีหน้าที่รองรับแรงกระแทกภายในข้อเข่า ซึ่งขณะวิ่งจะมีช่วงที่ร่างกายลงน้ำหนักกระแทกกับพื้น ซึ่งหมอนรองเข่านี้จะรองรับแรงกระแทกที่เกิดขึ้น ดังนั้นตำแหน่งนี้จึงเป็นอีกตำแหน่งที่พบอาการบาดเจ็บได้บ่อยจากการวิ่ง
- กล้ามเนื้อ Gastrocnemius เป็นกล้ามเนื้อบริเวณน่อง ซึ่งมักพบอาการเกร็งตัว จากการวิ่ง และทำให้เกิดอาการตะคริวน่องขึ้น
2. ปวดเข่าจากเวทเทรนนิ่ง ยกเวท หรือ การสควอช
การรักษาอาการปวดเข่าจากเวทเทรนนิ่ง การยกเวท หรือ การสควอช จะเน้นการสลายพังผืดและจุด trigger point ในบริเวณดังต่อไปนี้
1. กล้ามเนื้อ Hamstring หรือ กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง เนื่องจากขณะยกเวทหรือการสควอช จะต้องมีการงอและเกร็งหัวเข่า ดังนั้นกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานหลักคือกล้ามเนื้อ Hamstring หรือกล้ามเนื้อหลังต้นขา ส่งผลให้ตำแหน่งนี้มักเกิดอาการเกร็งตัวและมีอาการปวด ตึง ร่วมด้วย
2. เอ็นรอบหัวเข่า ทั้ง 4 ชุด ดังนี้
- เอ็นบริเวณหัวเข่าด้านใน (Medial collateral liggament)
- เอ็นบริเวณหัวเข่าด้านนอก (Lateral collateral ligament)
- เอ็นไขว้หน้าเข่า (Anterior cruciate ligament)
- เอ็นไขว้หลังเข่า (Posterior cruciate ligament)
หากในขณะการทำเวทเทรนนิ่ง มีการลงน้ำหนักที่ผิดพลาด ผิดจังหวะ หรือผิดท่า เอ็นชุดใดชุดหนึ่งมักเกิดการบาดเจ็บ และทำให้เกิดอาการเอ็นหัวเข่าอักเสบ และอาการปวดขึ้น
3. ปวดเข่าจากการเตะฟุตบอล
การเตะฟุตบอลเป็นกีฬาที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บบริเวณเข่ามากที่สุด เนื่องจากมีการใช้หัวเข่าหนักหลากหลายแบบ เช่น การวิ่งหลบหลีก การแย่งรับ-ส่งลูกฟุตบอล การกระโดด รวมถึง การเหวี่ยงขาเตะ จึงทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่าย โดยบริเวณที่มักเกิดการบาดเจ็บของการเตะฟุตบอลบ่อยที่สุด คือ
- เอ็นไขว้หน้าเข่า Anterior Cruciate Ligament เป็นเอ็นหลักภายในข้อเข่าที่ช่วยรักษาความมั่นคงของข้อเข่า มักเกิดการบาดเจ็บจากการบิดหมุนเข่าอย่างรวดเร็ว จนทำให้เอ็นไขว้หน้าเข่าเกิดการอักเสบหรือฉีกขาด
นอกจากนี้ก็ยังมีเอ็นภายในข้อเข่าอื่นๆ ที่อาจเกิดการบาดเจ็บ และส่งผลให้เกิดอาการเอ็นหัวเข่าอักเสบ ดังนี้
- เอ็นบริเวณหัวเข่าด้านใน (Medial collateral liggament)
- เอ็นบริเวณหัวเข่าด้านนอก (Lateral collateral ligament)
- เอ็นไขว้หลังเข่า (Posterior cruciate ligament)
นอกจากเอ็นภายในข้อเข่าแล้ว กล้ามเนื้อที่ใช้ขณะวิ่ง หรือ เตะ ก็มักพบการเกร็งตัว ส่งผลให้มีอาการปวดขึ้นได้เช่นกัน โดยบริเวณที่มักพบปัญหามีดังนี้
- กล้ามเนื้อ Quadriceps มีหน้าที่เหยียดข้อเข่า ในขณะออกแรงเตะ ดังนั้นการเตะฟุตบอล จึงทำให้กล้ามเนื้อ Quadriceps เกร็งตัวได้ง่าย และทำให้เกิดอาการปวดต้นขาด้านหน้าขึ้น
- กล้ามเนื้อ Gastrocnemius หรือ กล้ามเนื้อบริเวณน่อง มักเกิดอาการเกร็งตัวจากการวิ่ง และทำให้เกิดตะคริวน่องขึ้น
4. ปวดเข่าจากกีฬาที่มีการกระโดดหรือกระแทกร่วมด้วย เช่น บาสเก็ตบอล แบตมินตัน
โดยลักษณะของกีฬาที่มีการวิ่ง กระโดด ย่อมเกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณเข่า โดยบริเวณที่มักเกิดการบาดเจ็บได้บ่อย คือ
- เอ็นไขว้หน้าเข่า (Anterior cruciate ligament ) มักเกิดการบาดเจ็บจากการบิดหมุนเข่าอย่างรวดเร็ว ทำให้เอ็นเข่าเกิดการยืดหดกระทันหันหรือ อาจมีการฉีกขาด และทำให้มีอาการปวดเข่าขึ้น
- Patellar tendon หรือ เอ็นลูกสะบ้า มักเกิดการบาดเจ็บจากการกระโดด ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเข่าด้านหน้าขณะวิ่ง หรือ กระโดด โดยอาการนี้ถูกเรียกว่า Patellar Tendinitis หรือ Jumper’s knee หรือเอ็นสะบ้าอักเสบ ส่วนมากจะเกิดจากการเล่นบาสเก็ตบอล
- Meniscus หรือ หมอนรองกระดูกเข่า มีหน้าที่หลักในการรองรับแรงกระแทกภายในข้อเข่า ซึ่งขณะวิ่งหรือกระโดดจะเกิดแรงกระแทกภายในข้อเข่า โดยหากมีการกระแทกซ้ำๆ หรือเกิดการกระแทกที่รุนแรง จะทำให้เกิดการอักเสบบริเวณหมอนรองกระดูกเข่า หรือทำให้หมอนรองกระดูกเข่าฉีกขาด และกลายเป็นอาการปวดเข่าขึ้น
การรักษาด้วยการสลายจุด Trigger point และพังผืด จะทำให้สามารถกลับไปเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายได้ดังเดิมไหม
หลายท่านที่ประสบปัญหาการปวดเข่าจากการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬานั้น มักมีความกังวลว่าจะไม่สามารถกลับไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้ดังเดิม โดยเฉพาะในเคสที่มีอาการเรื้อรัง และรักษาด้วยวิธีต่างๆ มานาน แต่อาการยังไม่ดีขึ้น ก็จำใจต้องหยุดเล่นกีฬาที่ตนชื่นชอบไปเลยตลอดชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
ทั้งนี้ตามที่ได้มีการอธิบายไปข้างต้นแล้วว่า อาการปวดเข่าจากการเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายนั้น เป็นอาการที่สามารถรักษาให้หายได้ ถ้าได้รักษาอย่างตรงจุด และต้องแก้จากต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวด เสียวแปล็บ หรือ ขัด ซึ่งก็คือ จุด Trigger point และ พังผืด นั่นเอง
เมื่อพังผืดและ trigger point ถูกสลายออกไปจนหมด กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น รวมถึงข้อต่อต่างๆ จะกลับมาเป็นปกติ ยืดหยุ่น และมีสุขภาพดีดังเดิม (เปรียบเสมือน reset ปัญหาที่มีให้เป็น 0) ดังนั้นผู้ป่วยที่รักษาจนหายดีแล้วจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้เต็มที่ดังเดิม สามารถออกกำลังกายได้เต็มที่ เล่นกีฬาที่ชอบได้เหมือนเดิม โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการบาดเจ็บหรือาการปวดที่จะรุนแรงขึ้น
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจรักษาอาการปวดเข่าด้วยการนวดสลาย trigger point และพังผืด
ก่อนจะตัดสินใจรักษาอาการปวดเข่าจากการออกกำลังกาย ด้วยวิธีการนวดสลาย trigger point และพังผืดนั้น ผู้ป่วยควรพิจารณาสิ่งเหล่านี้ประกอบ
1. การนวดแก้อาการด้วยวิธีนี้ ถึงแม้ว่าจะสามารถทำให้ผู้ป่วยหายอย่างถาวรได้ก็จริง แต่อาจไม่ได้หายภายในครั้งเดียว
ในกรณีที่ผู้ป่วยเพิ่งเริ่มมีอาการ การนวดสลาย trigger point และ พังผืด ด้วยผู้ที่ชำนาญ นั้นสามารถทำให้ดีขึ้นได้เลยภายในครั้งเดียว แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการเรื้อรังมาสักระยะหนึ่งแล้ว อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้อาการหายช้าหรือเร็วนั้นจะขึ้นอยู่กับ
- ความเชี่ยวชาญของผู้นวดแก้อาการ ผู้รักษาที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษา เมื่อตรวจอาการแล้วจะรู้ทันทีว่าต้นเหตุของอาการอยู่ที่ใด และต้องแก้ที่ตำแหน่งใด ซึ่งจะแตกต่างผู้รักษาที่ไม่มีความชำนาญโดยสิ้นเชิง เพราะผู้ที่ไม่มีความรู้ ความชำนาญ จะไม่สามารถแยกได้ว่ากล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือข้อต่อที่มีความผิดปกตินั้น ผิดปกติเพราะอะไร และควรต้องแก้ไขอย่างไร
การรักษาโดยผู้ที่ชำนาญการ จะให้ผลการรักษาที่รวดเร็ว แม่นยำ และตรงจุด จนผู้ป่วยรู้สึกได้เองถึงความแตกต่าง
- ระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการสะสมมา ผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง หรือ มีอาการเป็นๆ หายๆ มานาน หรือเคยใช้งานหัวเข่าหนักๆ มานาน ย่อมต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานกว่าผู้ป่วยที่เพิ่งมีอาการ เนื่องจากในผู้ป่วยที่มีอาการมานาน จะมี trigger point และพังผืดเกาะแทรกในหลายๆ จุด และในบางเคส พังผืดได้ยึดเกาะเข้าในข้อต่อหัวเข่า ทำให้เกิดการยึดล็อคจนแข็ง ดังนั้นจะต้องรักษาหลายครั้งกว่าจะสลายพังผืดออกจนหมด
ในขณะที่ผู้ป่วยที่เพิ่งเริ่มมีอาการไม่นานนั้น จะมี trigger point และพังผืดเพียงเล็กน้อย และจะอยู่ในชั้นตื้นๆ ไม่ได้เกาะฝังลึก และไม่ได้เกาะลุกลามไปยังบริเวณต่างๆ เหมือนผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง ดังนั้น จึงใช้เวลารักษาน้อยกว่า ได้ผลที่ชัดเจนกว่า และหายไวกว่า
- สภาพกล้ามเนื้อของผู้ป่วย ผู้ป่วยแต่ละท่านมีสภาพกล้ามเนื้อที่แตกต่างกัน ทั้งเรื่องของความสามารถในการคลายตัว หรือในเรื่องความหนืดแข็งของพังผืด ผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อที่คลายตัวได้เร็ว หรือมีพังผืดนิ่มจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจนและไวกว่าผู้ป่วยที่กล้ามเนื้อที่คลายตัวช้า หรือมีพังผืดหนืดแข็ง
2. การนวดสลายแก้อาการสลาย trigger point และพังผืด มีความเจ็บ
เนื่องจากการนวดสลาย trigger point และพังผืดจะเน้นไปที่การรักษาอาการของผู้ป่วยให้ทุเลา ไม่ได้เน้นเรื่องความผ่อนคลาย ดังนั้น ขณะทำการรักษา ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บ ซึ่งจะเจ็บมาก-น้อย ขึ้นอยู่กับวิธีการหรือเทคนิคของการนวดแก้อาการในแต่ละแห่ง
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ต้องการรักษาด้วยวิธีการนวดสลายพังผืดนี้ จะต้องเป็นผู้ป่วยที่พอทนความเจ็บได้บ้าง หากเป็นผู้ที่ทนความเจ็บไม่ได้เลย อาจจะต้องเลือกการรักษาทางอื่นแทน
3. อาจเกิดการระบมหรือรอยฟกช้ำขึ้นหลังจากการนวด
การนวดแก้อาการสลาย trigger point และพังผืดนั้น อาจะทำให้เกิดความระบมหรือมีรอยฟกช้ำขึ้นหลังจากการรักษา โดยส่วนใหญ่แล้วอาการระบมและรอยฟกช้ำ จะเกินระยะเวลาประมาณ 3-10 วัน โดยจะระบมมาก-น้อย หรือ ฟกช้ำ มาก-น้อย แค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับวิธีการนวดรักษาของสถานที่นวดแก้อาการแต่ละแห่ง
4. ค่าใช้จ่ายในการนวดสลาย trigger point และพังผืดจะสูงกว่าการนวดทั่วไป
โดยปกติแล้ว ค่าใช้จ่ายในการนวดแก้อาการสลาย trigger point และพังผืดจะสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการนวดทั่วไป เนื่องจากผู้ที่จะทำการนวดแก้อาการได้นั้น ไม่ใช่แค่ใครก็ได้ที่นวดแผนไทยเป็น แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญด้านการสลายพังผืดในกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และ ข้อต่อ มากกกว่าหมอนวดแผนไทยอย่างมาก ซึ่งผู้ที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญในด้านนี้จริงๆ มีจำนวนค่อนข้างน้อยในปัจจุบัน
ค่าใช้จ่ายในการนวดแก้อาการที่พบในปัจจุบันนั้น มีตั้งแต่ 500.- จนไปถึงหลักหมื่นบาท (xx,xxx) ต่อครั้ง ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรพิจารณาเปรียบเทียบข้อมูลและปัจจัยต่างๆ ของสถานที่นวดแก้อาการแต่ละแห่งว่าที่ใดมีความเชี่ยวชาญ สามารถรักษาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคุ้มค่าต่อผู้ป่วยมากที่สุด
กลับสู่สารบัญคำแนะนำส่งท้ายสำหรับผู้ที่กำลังมีอาการปวดเข่าจากการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายทุกอย่างนั้นล้วนเป็นการส่งเสริมสุขภาพให้ร่างกายแข็งแรง แต่การออกกำลังกายที่ไม่ถูกท่า ผิดวิธี การออกกำลังกายที่หักโหมเกินไป หรือแม้กระทั่งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการออกกำลังกายนั้น สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ควรละเลย และควรรีบแก้ไข
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย วิธีการป้องกันการบาดเจ็บที่ดีคือ การยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้อยู่ในภาวะที่พร้อมทั้งก่อน – หลังการออกกำลังกาย รวมถึงการศึกษาวิธีและท่าในการออกกำลังกาย วิธีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ อย่างถูกต้อง ไม่ควรฝืนออกกำลังกายมากเกินพอดี และควรตระหนักถึงความปลอดภัยของร่างกายเป็นหลัก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บขึ้น
ในกรณีที่เกิดการบาดเจ็บแล้ว สิ่งแรกที่ควรทำคือพัก หรืองดออกกำลังกาย เพราะหากยังคงออกกำลังกายต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มขึ้นซ้ำซ้อน และอาจทำให้ยากต่อการรักษา และควรหาวิธีการรักษาที่ตรงจุด ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างถาวร เพื่อไม่ให้ปัญหาเรื้อรังและทรุดหนักเมื่ออายุมากขึ้น และเพื่อให้สามารถกลับไปใช้ร่างกายทำกิจกรรมที่ชื่นชอบได้เต็มที่อีกครั้ง