*** ผลการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ***
นวดแก้อาการปวดหลัง สะโพก และขา
จบทุกอาการปวด/ชา อย่างยั่งยืน เราเน้นการรักษา เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างถาวร
มีจรรยาบรรณ
ให้รายละเอียดอย่างตรงไปตรงมา ไม่เลี้ยงไข้ ไม่มีการเชิญชวนให้ซื้อผลิตภัณฑ์ใดๆ
วิธีการรักษาที่เห็นผล
เรามั่นใจในผลการรักษาที่แตกต่างอย่างชัดเจน และผลลัพธ์ของผู้ป่วยที่ดีขึ้นอย่างถาวร
การรักษาที่ครอบคลุม
แก้ปัญหาตั้งแต่ชั้นกล้ามเนื้อ เส้นลม เส้นเอ็น ข้อต่อ หมอนรองกระดูก พังผืด และเส้นประสาท
อาการบริเวณหลัง สะโพก ขา ที่พบบ่อย มีดังนี้
กล้ามเนื้อหลังอักเสบ
การปวดหลังที่เกิดจากกล้ามเนื้อหลังอักเสบคืออาการปวดหลังที่เกิดขึ้นในบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของแผ่นหลัง (โดยมากจะพบบริเวณหลังช่วงล่าง หรือบริเวณเอว แต่ก็สามารถพบได้ในบริเวณหลังส่วนอื่นๆ ด้วย) โดยสาเหตุจะเกิดจากกล้ามเนื้อสันหลังบริเวณนั้นๆ เกิดการ บาดเจ็บ ตึงเครียด จนมีพังผืดไปเกาะยึด ส่งผลให้เกิดอาการหดรั้ง เกร็งตัว ของเนื้อเยื่อบริเวณนั้นๆ จนเลือดไหลเวียนไม่สะดวก จึงเกิดอาการปวดขึ้น
อาการปวดหลังในลักษณะนี้ มักจะเริ่มต้นจากอิริยาบถที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรืออาจเกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อหลังที่หนักเกินไป อาการกล้ามเนื้อหลังอักเสบนั้นสามารถแยกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1. กล้ามเนื้อหลังอักเสบแบบเฉียบพลัน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังอย่างรุนแรง และจะไม่สามารถทำในบางอิริยาบถได้เช่น ยืนตรงไม่ได้ นั่งปกติไม่ได้ หรือ เดินไม่ได้ เป็นต้น ในบางเคส อาจมีอาการดึงรั้งทำให้หลังเอียงร่วมด้วย
2. กล้ามเนื้อหลังอักเสบเรื้อรัง
อาการของผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะไม่รุนแรงเท่ากลุ่มแรก โดยอาจจะปวดหลังเมื่ออยู่ในอิริยาบถใด อิริยาบถหนึ่ง เช่น ปวดหลังเวลานั่งนานๆ ปวดหลังเวลาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ปวดหลังเวลาก้ม เป็นต้น อาการปวดหลังในลักษณะนี้จะเป็นแบบปวดเรื่อยๆ เป็นๆ หายๆ อยู่ตลอด
ซึ่งผู้ป่วยในกลุ่มนี้ เมื่อเทียบกับการปวดหลังแบบเฉียบพลันแล้ว มักจะไม่ค่อยรักษาอาการปวดให้หายแบบจริงจัง เนื่องจากอาการปวดหลังแบบเรื้อรังนี้ จะเป็นๆ หายๆ อยู่เสมอ บางช่วงที่ไม่มีอาการ ผู้ป่วยจึงไม่รู้สึกว่าต้องรีบรักษา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่มีอาการปวดหลังแบบนี้ หากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกหลัก อาการจะสามารถพัฒนากลายไปเป็นอาการปวดที่รุนแรง หรือสามารถพัฒนาไปเป็นภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ได้ในอนาคต
หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หมอนรองกระดูกปลิ้น กระดูกทรุด หรือกระดูกเสื่อม
อาการปวดหลังลักษณะนี้ จะเป็นอาการปวดหลังที่รุนแรงกว่าอาการปวดที่เกิดจากกล้ามเนื้อ เนื่องจากส่วนหนึ่งของหมอนรองกระดูกจะมีการเคลื่อนไปกดทับโดนเส้นประสาท ที่ควบคุมการทำงานของ สะโพก ต้นขา น่อง และ ปลายเท้า
ดังนั้นอาการที่เกิดขึ้น จะไม่จำกัดอยู่ที่บริเวณหลังอย่างเดียว ที่พบได้บ่อยที่สุดคือ ผู้ป่วยจะมีอาการ ปวดร้าวลง สลักเพชร สะโพก หน้าแข้ง จนถึง ข้อเท้า นอกจากนี้ในหลายๆ เคส จะมีอาการ ชาขา ชาปลายเท้า รวมถึง ขาอ่อนแรง ร่วมด้วย เนื่องจากเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของขา โดนกดทับ และไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
อาการกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (Piriformis)
กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท อาการของกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาทนั้น จะคล้ายกับอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท คือ จะมีอาการปวดสะโพก ปวดสลักเพชร ปวดก้น ในบางเคสจะมีอาการปวดร้าวลงขา ขาชา แต่จะไม่มีอาการปวดหลัง
สาเหตุของอาการกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาทนั้น เกิดจากกล้ามเนื้อภายในก้น (ที่มีชื่อว่า ฟิริฟอร์มิส ที่ทำหน้าที่ช่วยให้ต้นขาเคลื่อนไหวได้ปกติ) เกิดการหดเกร็งจนไปบีบรัดเส้นประสาท จึงทำให้เกิดอาการปวดชาที่ก้น สะโพก ร้าวลงขา ในบางเคส อาจมีอาการเสียวแปล๊บที่ ก้น หรือ สะโพก เวลาเปลี่ยนอิริยาบถ
อาการสะโพกเสื่อม
ผู้ป่วยที่มีอาการสะโพกเสื่อมนั้น มักจะมีอาการปวดสะโพก สะโพกแข็งล็อค รู้สึกว่าขา 2 ข้างสั้นยาวไม่เท่ากัน เดินโยก ขาอ่อนแรง โดยส่วนมากอาการสะโพกเสื่อมนั้น มักจะมาจาก
- การบาดเจ็บที่เกิดจากอุบัติเหตุ บริเวณสะโพก เช่น การกระแทก กระชาก เหวี่ยง เป็นต้น
- การบาดเจ็บเรื้อรังของกล้ามเนื้อหรือหมอนรองกระดูกสันหลัง และไม่ได้รับการรักษา ส่งผลให้การอักเสบลุกลามไปสู่บริเวณสะโพก และเกิดพังผืดไปยึดเกาะตามกล้ามเนื้อและเอ็นที่มีปัญหา เมื่อพังผืดพอกพูนขึ้นจนยึดล็อคข้อสะโพก สะโพกจะเริ่มเกิดอาการเสื่อม และเริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เกิดการติดขัดในการเคลื่อนไหว เดินลำบาก เดินโยก ขึ้นลงบันไดไม่ได้ กางหรือหุบขาไม่ได้ เพราะจะมีอาการปวดสะโพก ปวดขาหนีบ ในเคสที่รุนแรงมากๆ ขาจะอ่อนแรงลงเนื่องจากกล้ามเนื้อที่ควบคุมข้อสะโพกอ่อนแอเพราะใช้งานไม่ได้
อาการขาชา ขาอ่อนแรง
อาการขาชา ขาอ่อนแรงนี้ โดยมากแล้วจะเป็นอาการที่มาจากเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานส่วนขา ถูกรบกวนจนทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งเส้นประสาทนี้จะอยู่บริเวณกระดูกสันหลังและยาวลงมาตามขาทั้ง 2 ข้าง จะเริ่มต้นที่อยู่บริเวณกระดูกสันหลังและยาวลงมาตามขาทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยที่มีอาการขาชา ขาอ่อนแรง ส่วนใหญ่แล้วจะเคยมีปัญหาปวดหรือเมื่อยหลังมาก่อน แต่อาจไม่ได้รักษาให้หาย จนทำให้อาการอักเสบนั้นลุกลามไปยังบริเวณเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของขา ซึ่งสาเหตุหลักของอาการนี้คือ
- หมอนรองกระดูก หรือ กระดูก เคลื่อนที่ผิดตำแหน่งและไปกดทับโดนเส้นประสาท
- กล้ามเนื้อบริเวณสันหลังเกิดการหดเกร็งตัว จนไปเบียดเส้นประสาท
ผู้ป่วยที่มีอาการขาชา ขาอ่อนแรง ในบางราย อาจมีอาการปวดหลังร่วมด้วย ซึ่งปกติแล้วในระยะแรกนั้นผู้ป่วยจะเริ่มจากการชา หรือ่อนแรงเพียงข้างเดียว แต่หากยังปล่อยไว้ ไม่รักษาให้หาย ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการอีกข้างตามมา โดยอาจจะมีอาการสลับกันไปมาในแต่ละวัน แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว จะมีอาการชา หรือ อ่อนแรงทั้ง 2 ข้าง ในบางรายที่มีอาการหนัก ขาจะอ่อนแรงจนไม่สามารถเดินได้
ทำไมการรักษาของเรา จึงช่วยคุณได้
การรักษาของเราจะเน้นการแก้ปัญหาอย่างครอบคลุมในทุกเนื้อเยื่อที่เกี่ยวพันกัน โดยจะเน้นการสลายพังผืดและจุด trigger point ในชั้นกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ และเส้นประสาท
โดยเมื่อพังผืดและจุดยึดเกร็งถูกสลายออกจนหมด กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ เส้นประสาท ก็จะกลับไปมีสุขภาพดีดังเดิม อาการปวด ชา ตึง แสบร้อน อ่อนแรง ก็จะหมดไป และไม่กลับมาเป็นซ้ำๆ อีก เพราะสาเหตุหลักของปัญหาได้ถูกกำจัดออกไป
โดยการรักษาจะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ
1. การคลายกล้ามเนื้อชั้นบน-ชั้นลึก
ในขั้นตอนนี้จะเป็นการทำให้กล้ามเนื้อชั้นบน และกล้ามเนื้อชั้นลึก คลายตัวจากอาการตึงเครียดและอาการหดเกร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุของ อาการตึง เมื่อย ตะคริว หรืออาการปวดลึกๆ ในมัดกล้ามเนื้อบริเวณต่างๆ
การนวดในขั้นตอนนี้จะช่วยรักษาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อในระยะเริ่มแรก ซึ่งได้แก่ อาการกล้ามเนื้อหลังอักเสบ กล้ามเนื้อก้นอักเสบ กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท หรือ อาการกล้ามเนื้อต้นขาอักเสบ เป็นต้น
2. การสลายพังผืดและจุดยึดเกร็ง (trigger point)
ในขั้นตอนนี้จะเน้นการสลายพังผืดและจุด trigger point ที่ฝังตัวอยู่ในมัดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ที่ขัดขวางไม่ให้เลือดนำพาสารอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงได้สะดวก ทำให้เกิดอาการปวด แข็ง ตึง บริเวณหลัง เอว สะโพก ขา
นอกจากนี้ จะต้องมีการสลายพังผืดที่ไปเบียดรบกวนเส้นประสาทบริเวณใกล้เคียง ทำให้เส้นประสาทชุดนั้นๆ ทำงานได้ไม่เต็มที่จึงทำให้เกิด อาการ ปวด ชา แสบร้อน ไฟช็อต ยิบๆ หรืออาการผิดปกติอื่นๆ อาการที่พบได้บ่อยคือ ขาชา ก้นชา แสบร้อนต้นขา ไฟช็อตลงขา เป็นต้น
ในกรณีของผู้ที่มีภาวะหมอนรองกระดูกและข้อต่อผิดปกติ การรักษาในขั้นตอนนี้จะมีการสลายพังผืดที่เกาะอยู่ตามข้อต่อ หรือหมอนรองกระดูก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้อต่อ และ หมอนรองกระดูกเกิดการแข็งตัว ยึดล็อค ไม่ยืดหยุ่น ผิดรูป จนเคลื่อนตัวไปทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดหลังร้าวลงขา ปวดสะโพกร้าวลงขา เสียวหน้าแข้ง ขาอ่อนแรง ขาลีบ เป็นต้น
การ นวดแก้อาการ ด้วยการสลายพังผืดและสลายก้อน trigger point นี้ จะเป็นการกำจัดปัญหาจากต้นเหตุอย่างแท้จริง เพราะเมื่อพังผืดและ trigger point ถูกสลายออกจนหมดแล้ว กล้ามเนื้อ เอ็น หมอนรองกระดูก และข้อต่อ จะกลับมามีสุขภาพที่ดีดังเดิม ไม่หดเกร็ง ไม่ยึดรั้ง
เมื่อเนื้อเยื่อบริเวณที่มีปัญหาคลายตัวกลับสู่สภาพปกติ เส้นประสาทจะกลับไปทำงานได้ปกติ เลือดจะสามารถนำสารอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณนั้นได้เต็มที่อีกครั้ง อาการปวด อาการอักเสบ รวมถึงอาการผิดปกติต่างๆ จะหายไป และไม่กลับมาอีก เพราะต้นเหตุถูกกำจัดออกไปอย่างถาวร
ทำไมต้องเลือกเรา
เน้นการรักษาที่ทำให้ร่างกายดีขึ้นอย่างยั่งยืน กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ไม่กลับมาบาดเจ็บซ้ำๆ ในอนาคต
85% ดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก
ผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง รู้สึกดีขึ้น ตั้งแต่ครั้งแรก ที่ได้รับการรักษา
ราคาจับต้องได้
ค่าใช้จ่ายเพียง 900 – 2500/ครั้ง รักษาเพียงเดือนละ 1 ครั้ง คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้จากการรักษา
ถูกกว่าการผ่าตัด
ได้ผลการรักษาแบบหลักแสน ในราคาเพียงหลักพัน ถูกกว่าถึง 20 เท่า
90% ไม่กลับมาเป็นซ้ำ
ผู้ป่วยที่มีอาการไม่เกิน 3 เดือน สามารถหายได้ ด้วยการ รักษาเพียง 2 ครั้ง ***
กระดูกทับเส้น
ปวดหลังร้าวลงขา
ขาชา ขาอ่อนแรง
ปวดหลังเรื้อรัง
ปวดสะโพก สะโพกเสื่อม
ออฟฟิศซินโดรม
ปวดคอ บ่า สะบัก
กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท
ปวดร้าวลงแขน
แขนชา แขนอ่อนแรง
ปวดไมเกรน
ไหล่ติด
ปวดเข่า เอ็นเข่าอักเสบ
ปวดข้อมือ ปวดข้อศอก
เอ็นข้อเท้าอักเสบ
รองช้ำ
*** ต้องเป็นผู้ป่วยที่ไม่เคยมีอาการนี้มาก่อน และไม่เคยเป็นๆ หายๆ มาก่อน ***
รวมวิดีโอการรักษา
ผลการรักษาอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
เพื่อคนรอบข้าง
หากคุณอยากจบอาการนี้อย่างถาวร เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่คนรอบข้าง
เพื่อตัวคุณเอง
หากคุณอยากกลับไปทำงาน หรือออกกำลังกายได้เต็มที่อีกครั้ง
เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น
หากคุณอยากลาขาดจากอาการที่เป็นอยู่ ไม่ให้รบกวนชีวิตคุณอีกต่อไป
10+ ปี
ประสบการณ์รักษา
3,000+ เคส
จำนวนการรักษา
คำถามที่พบบ่อย
รักษาด้วยการนวดแบบใด
ที่คลินิกเราเน้นการนวดแก้อาการด้วยวิธีสลายพังผืดและจุดยึดเกร็ง (Trigger point)
ทำไมการนวดแก้อาการด้วยวิธีสลายพังผืดจึงสามารถรักษาอาการปวด ชา แสบร้อน อ่อนแรง ได้
อาการปวดโดยมากแล้วจะเกิดจากการที่กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือข้อต่อ มีพังผืดไปยึดเกาะ จนทำให้เกิดการตึงเครียด ของเนื้อเยื่อบริเวณนั้นและทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้สะดวก จึงเกิดการอักเสบ การปวด ขึ้น
และหากบริเวณดังกล่าวมีพังผืดไปเกาะมากจนเป็นก้อนหนา และเริ่มไปเบียดรบกวนเส้นประสาทเข้า เส้นประสาทนั้นๆ จะเริ่มทำงานไม่ปกติ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการผิดปกติอื่นๆ ตามมา เช่น อาการชา แสบร้อน อ่อนแรง อาการหนาๆ เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้ แพทย์แผนปัจจุบันมักจะหาสาเหตุไม่พบ และจะวินิจฉัยว่าเป็นอาการปลายประสาทอักเสบ
การนวดแก้สลายพังผืดนั้น สามารถทำได้ในทุกส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น หลัง สะโพก ต้นขา หัวเข่า ข้อเท้า ส้นเท้า คอ บ่า ไหล่ แขน ข้อมือ ฝ่ามือ เป็นต้น เพราะจุดใดก็ตามที่มีการเกร็งตัวหรือการอักเสบ จุดนั้นจะมี trigger point เกิดขึ้นและจะเริ่มมีพังผืดไปเกาะคลุม ดังนั้นหากต้องการคลายความหดเกร็งและกำจัดการอักเสบออก ก็จำเป็นต้องกำจัดทั้งพังผืดและจุด trigger point ออกไป
การนวดสลายพังผืดออกนั้น จะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของอาการผิดปกติทั้งหมด เพราะถ้าไม่มีพังผืดไปยึดเกาะแล้ว กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นเลือด เส้นประสาท ก็จะกลับไปทำงานได้ปกติ มีสุขภาพดีดังเดิม อาการผิดปกติต่างๆ ก็จะหายไปและไม่เกิดขึ้นอีก
เป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท นวดหายได้จริงหรือ
การนวดที่จะรักษาอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้นั้น จะต้องเป็นการนวดที่เน้นการสลายพังผืดเป็นหลัก เนื่องจากต้นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนตัวผิดตำแหน่งนั้น โดยมากจะเกิดจากการที่มีพังผืดไปเกาะยึดระหว่าง หมอนรองกระดูก และกล้ามเนื้อรอบๆ ของหมอนรองกระดูกนั้นๆ จนเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวเกิดความตึงเครียดและดึงรั้งกัน จนดึงให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนที่ออกมาทับเส้นประสาท
ดังนั้นการรักษาที่จะทำให้ได้ผลอย่างแท้จริงคือการสลายพังผืดที่เป็นตัวยึดรั้งให้หมอนรองกระดูกที่อยู่ผิดตำแหน่ง หรือ ที่ปลิ้นออกมา ให้สลายออกไป เมื่อไม่มีพังผืดคอยดึงรั้ง หมอนรองกระดูกก็สามารถเคลื่อนที่กลับสู่ตำแหน่งเดิมได้ตามกลไกการฟื้นฟูของร่างกาย และไม่กลับมาปลิ้นทับเส้นประสาทอีกในอนาคต
นี่คือสาเหตุว่าทำไมผู้ป่วยหลายท่าน ถึงแม้จะรักษาด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การทำกายภาพ การจัดกระดูก ทานยา ทานอาหารเสริมแล้ว อาการถึงไม่หายขาด หรือดีขึ้นแต่ก็กลับมาปวดใหม่ซ้ำๆ นั่นเป็นเพราะตัวพังผืดที่เป็นสาเหตุหลักนั้น ไม่ได้ถูกกำจัดออกไป
ถ้าหายได้จริง ทำไมแพทย์ถึงสั่งห้ามนวด
เหตุผลที่แพทย์สั่งห้ามนวดเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะการนวดทั่วๆ ไป โดยผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญนั้น ย่อมก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี เพราะทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าจะมีผู้ประกอบอาชีพหมอนวดจำนวนมาก แต่เรากลับหาผู้ที่เชี่ยวชาญในการนวดรักษาได้น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในเรื่องกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ พังผืด อย่างแท้จริง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แพทย์จะสั่งห้ามนวด เพราะผู้ป่วยมีแนวโน้มสูงที่จะได้เจอกับหมอนวดที่ไม่ชำนาญและอาจทำให้บาดเจ็บมากขึ้นกว่าเดิม
แล้วกระดูกเสื่อม กระดูกทรุด รักษาด้วยการนวดได้หรือ
ในกรณีของกระดูกเสื่อม กระดูกทรุดนั้น ก็จะมีสาเหตุที่คล้ายคลึงกับอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท คือเกิดจากร่างกายสร้างพังผืดมากเกาะบริเวณข้อกระดูกที่มีปัญหา ส่งผลให้ข้อกระดูกเกิดการแข็งตัวและไม่ยืดหยุ่น
โดยที่ถ้าเป็นกระดูกเสื่อมนั้น เวลาทำ X-RAY หรือ MRI จะมองไม่เห็นข้อกระดูกบริเวณที่โดนพังผืดปกคลุม แพทย์ก็จะวินิจฉัยว่าเป็นกระดูกเสื่อม ซึ่งจริงๆ แล้วสามารถรักษาได้โดยการนวดสลายเอาพังผืดที่เกาะบริเวณรอบข้อกระดูกนั้นออก ผู้ป่วยก็จะกลับมามีข้อกระดูกที่ยืดหยุ่นดังเดิม
ในกรณีของกระดูกทรุด จะเกิดจากการที่มีพังผืดเกาะยึดบริเวณข้อกระดูก 2 ข้อ (ข้อบน - ข้อล่าง) โดยพังผืดที่เกาะนั้นค่อยๆ ดึงให้ข้อกระดูกทั้ง 2 ข้อนี้ชิดเข้าหากัน จนหมอนรองกระดูกถูกบีบยุบตัวลง และข้อกระดูกบน-ล่าง ทรุดติดกัน เกิดการกดทับเส้นประสาทในบริเวณนั้นๆ
การนวดที่สามารถรักษาอาการนี้ได้ จะต้องเป็นการนวดที่เน้นสลายพังผืดออก เพื่อที่ทำให้กระดูกข้อบน-ล่าง ค่อยๆ คลายตัวออกจากกันและเคลื่อนตัวออกจากการกดทับเส้นประสาท
การนวดสลายพังผืดนี้จะทำให้เกิดการอักเสบเพิ่มขึ้นหรือไม่
ไม่ เพราะการนวดสลายพังผืดของทางคลินิก จะเป็นการนวดโดย target ไปเฉพาะบริเวณที่มีพังผืด และ trigger point เท่านั้น เพราะทุกครั้งที่เกิดการอักเสบ ไม่ว่าจะเป็นใน กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ หรือเส้นประสาท ย่อมมีพังผืดหรือ trigger point เกิดควบคู่อยู่เสมอ
หากพังผืดและ trigger point ถูกสลายออกไป อาการอักเสบจะคลายตัวลงอย่างชัดเจน ส่วนความเจ็บหรืออาการระบมที่เกิดจากการนวดนั้น เป็นเพียงอาการชั่วคราวหลังการทำหัตถการ ไม่ใช่ความเจ็บที่ทำให้เกิดการอักเสบแต่อย่างใด เพราะไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการสร้างพังผืดใหม่ เหมือนอย่างการกระแทก การยกของผิดจังหวะ การประสบอุบัติเหตุ หรือการใช้งานกล้ามเนื้อที่มากจนเกินไป
ต้องรักษากี่ครั้งถึงเห็นผล
- ถ้าเพิ่งมีอาการมาไม่เกิน 3 เดือน ส่วนใหญ่จะรักษา 1-2 ครั้ง แล้วหายขาดเลย ***
- ถ้ามีอาการมานานกว่า 3 เดือน 80% ของผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก แต่จะรักษากี่ครั้งแล้วหายสนิท ต้องให้คุณหมอประเมินอาการอีกครั้ง
- ถ้ามีอาการหนัก/เรื้อรังมานานมากๆ รักษาครั้งแรก อาจไม่เห็นผลเลย จะไปเห็นผลในครั้งต่อๆ ไปแทน
*** ต้องไม่เคยมีอาการนี้หรืออาการที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันมาก่อน
จะหายเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับอะไร
ระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการสะสมมา
- ผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง หรือ มีอาการเป็นๆ หายๆ มานาน หรือเคยใช้ร่างกายหนักๆ มาตลอดหลายปี ย่อมต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานกว่าผู้ป่วยที่เพิ่งมีอาการ เนื่องจากในผู้ป่วยที่มีอาการมานาน พังผืดจะเกาะแทรกและลุกลามไปในชั้นกล้ามเนื้อหลายๆ ชั้นแล้ว ในบางเคส พังผืดได้ลุกลามไปตามหมอนรองกระดูก และข้อต่อต่างๆ ดังนั้นจะต้องรักษาหลายครั้งกว่าจะสลายพังผืดออกจนหมด
- ในขณะที่ผู้ป่วยที่เพิ่งเริ่มมีอาการไม่นานนั้น จะมีพังผืดยึดเกาะเพียงเล็กน้อย และจะเกาะอยู่เพียงกล้ามเนื้อชั้นบนๆ ไม่ได้เกาะฝังลงลึก หรือเกาะลุกลามไปที่ต่างๆ เหมือนผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง ดังนั้น จึงใช้เวลารักษาน้อยกว่า ได้ผลที่ชัดเจนกว่า และหายไวกว่า
สภาพกล้ามเนื้อของผู้ป่วย
- ผู้ป่วยแต่ละท่านมีสภาพกล้ามเนื้อที่แตกต่างกัน ทั้งเรื่องของความสามารถในการคลายตัว หรือในเรื่องความหนืดแข็งของพังผืด ผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อที่คลายตัวได้เร็ว หรือมีพังผืดนิ่มจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจนและไวกว่าผู้ป่วยที่กล้ามเนื้อที่คลายตัวช้า หรือมีพังผืดหนืดแข็ง
ถ้ารักษาจนหายแล้ว แต่ยังต้องอยู่ในท่าเดิมๆ ตลอด จะกลับมาเป็นอีกไหม
การรักษาของทางคลินิก ถ้าผู้ป่วยรักษาจนหายดีแล้ว จะสามารถกลับไปออกกำลังกายได้ ยกของได้ นั่งนานได้ ทำทุกอย่างได้เต็มที่ ไม่มีข้อจำกัด ร่างกายจะเหมือน reset กลับเป็น 0 ใหม่เลย จนกว่าผู้ป่วยมีเหตุให้ร่างกายได้รับการบาดเจ็บครั้งใหม่ เช่น ไปล้มมา หรือไปออกกำลังกายผิดท่า เป็นต้น
แต่ถ้าจะต้องอยู่ในท่าเดิมตลอด ร่างกายก็จะเริ่มสะสมพังผืดใหม่ แต่จะใช้เวลานานมาก (เป็น 10 ปี) กว่าจะกลับมาปวดมากอีกครั้ง ซึ่งทางคลินิกจะแนะนำว่า หากทำการรักษาจนหายดีแล้ว ผู้ป่วยอาจจะต้องหมั่นยืดเหยียดกล้ามเนื้อบริเวณที่ใช้งานบ่อยๆ เพื่อป้องกันการตึงเครียดของกล้ามเนื้อจนทำให้มีพังผืดมาเกาะอีกครั้ง
ใช้อะไรในการสลายพังผืด
ทางคลินิกจะใช้ ข้อศอก นิ้วมือ และไม้นวดเล็กๆ ประกอบกันในการรักษา
ต้องไปรักษาบ่อยแค่ไหน
เดือนละ 1 ครั้ง หรือ เมื่อมีอาการกลับมาอีกครั้ง
รักษาเดือนละแค่ 1 ครั้ง น้อยไปหรือเปล่า จะหายช้าไหม
เราเชื่อว่าการรักษาที่ทำให้เห็นผลนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความถี่ในการรักษา แต่ขึ้นอยู่กับว่าการรักษานั้นๆ สามารถแก้อาการได้ตรงจุดหรือไม่ การรักษาที่ตรงจุดเพียงครั้งเดียว ย่อมให้ผลที่มากและยาวนานกว่า การแก้ที่ไม่ตรงจุด 10 ครั้ง
การรักษาของทางคลินิกจะให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างแตกต่างจากการนวดหรือการรักษาอื่นๆ เราจะมี step ในการรักษาที่ไม่เหมือนการนวดทั่วไป ในกรณีที่ผู้ป่วยเห็นผลและมีอาการดีขึ้นจากการรักษานั้น ผลการรักษาจะอยู่ได้ค่อนข้างยาวนาน ดังนั้นถ้าผลการรักษายังดีอยู่ ทางคลินิกก็จะยังไม่แนะนำให้เข้ามารักษาอีกจนกว่าจะเริ่มกลับมามีอาการอีกครั้ง
ในกรณีที่ผู้ป่วยยังมีอาการเหลืออยู่หลังจากการรักษา ผู้ป่วยสามารถเข้ามารักษาได้เร็วกว่าเดือนละ 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ผู้ตรวจเป็นสำคัญ
ใช้ระยะเวลารักษาแต่ละครั้งนานเท่าไหร่
ปกติเวลาในการรักษาจะอยู่ที่ 30-90 นาที ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยที่เป็นมา
เวลารักษาเจ็บไหม
ขณะรักษาจะค่อนข้างเจ็บกว่าการนวดทั่วไป เพราะเราเป็นการนวดเพื่อรักษา ไม่ใช่นวดผ่อนคลาย การรักษาของทางคลินิกจะเหมาะสำหรับผู้ที่ทนเจ็บได้ ที่คลินิกจะไม่มีการกระแทก บิด หัก แอ่น กระชากใดๆ ความเจ็บที่เกิดขึ้นนั้นจะเกิดจากการคลึงสลายพังผืด และการสลายจุดยึดเกร็ง ( trigger point) ออก
การนวดสลายพังผืดมีอันตรายไหม
การนวดแก้อาการด้วยการสลายพังผืดนี้ ไม่มีอันตรายใดๆ การรักษาจะมีลักษณะคล้ายๆ การเขี่ย/แกะ/คลึง ไปตามบริเวณที่มีปัญหา ไม่ได้ใช้ความรุนแรง เพียงแต่ขณะรักษาจะมีความเจ็บเกิดขึ้นเนื่องจากพังผืดที่ยึดเกาะนั้นมีความ เหนียว เกร็ง แข็ง แต่เมื่อพังผืดคลายตัวออกแล้ว อาการเจ็บก็จะหายไป
มีระบม และฟกช้ำไหม
มีบ้างแต่ไม่ทุกคน อาการระบมและฟกช้ำที่เกิดขึ้นจะสามารถหายไปเองได้ใน 3-10 วัน โดยอาการระบมจะเป็นลักษณะเจ็บๆ บนผิวบริเวณที่ถูกรักษา ซึ่งสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่ต้องนอนพักฟื้นใดๆ
ส่วนอาการฟกช้ำมักจะเกิดในผู้ที่มีการรักษาในบริเวณที่มีไขมันเยอะๆ เช่น ต้นขา ต้นแขน เป็นต้น ซึ่งรอยช้ำจะมีสีเข้มในช่วง 2-7 วันแรก และจะสามารถจางไปได้เอง ไม่มีอันตรายใดๆ
มีแผลไหม
โดยปกติแล้วการรักษาจะไม่ทำให้เกิดแผลใดๆ แต่ทั้งนี้ในผู้ป่วยที่มีพังผืดเกาะในข้อต่อที่ลึกมากๆ อาจจะมีแผลถลอกเกิดขึ้นจากการรักษา (ประมาณ 0.8-1 cm) ซึ่งทางคลินิกจะให้ผู้ป่วยเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าต้องการจะให้รักษาบริเวณที่ลึกมากๆ นั้น ตอนนี้เลยหรือไม่ หากต้องการหลีกเลี่ยงแผลถลอก ผู้ป่วยสามารถเลือกที่จะค่อยๆ รักษาไป โดยแบ่งการรักษาออกเป็นหลายๆ ครั้งแทนได้
ข้อห้ามในการรักษา
- ทางคลินิกไม่รับรักษาผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน
- ทางคลินิกไม่รับรักษาผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
- ทางคลินิกไม่รับรักษาผู้ที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุและยังมีรอยฟกช้ำอยู่
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ ทางคลินิกจะไม่รับรักษาอาการบริเวณ คอ-บ่า-ไหล่ แต่สามารถรักษาอาการบริเวณอื่นๆ ได้
- ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูง จะต้องทานยาคุมความดันมาก่อนการเข้ารับการรักษาทุกครั้ง
ค่าใช้จ่ายในการรักษา
เริ่มต้นที่ 900 – 2,500 บาท/ครั้ง คลินิกสามารถออกใบรับรองแพทย์ (ใบรับรองการรักษา) ได้
ในกรณีที่เคยผ่าตัดในบริเวณที่จะรักษามาก่อน จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 500.
หากต้องการเข้ารับรักษาต้องจองคิวไหม
ผู้ป่วยต้องจองคิวล่วงหน้าก่อนเข้ารับการรักษา สามารถติดต่อจองคิวได้ทาง 082-356-2329 Line หรือ Facebook
คลินิกตั้งอยู่ที่ไหน
คลินิกอยู่ฝั่งตรงข้ามมหาชัยเมืองใหม่ ขับรถเลยจากพระราม 2 ไปประมาณ 20 นาที สามารถดูแผนที่ได้ที่ด้านล่างเพจ