อาการบริเวณหลัง สะโพก ขา ที่พบบ่อย มีดังนี้
กล้ามเนื้อหลังอักเสบ
การปวดหลังที่เกิดจากกล้ามเนื้อหลังอักเสบคืออาการปวดหลังที่เกิดขึ้นในบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของแผ่นหลัง (โดยมากจะพบบริเวณหลังช่วงล่าง หรือบริเวณเอว แต่ก็สามารถพบได้ในบริเวณหลังส่วนอื่นๆ ด้วย) โดยสาเหตุจะเกิดจากกล้ามเนื้อสันหลังบริเวณนั้นๆ เกิดการ บาดเจ็บ ตึงเครียด จนมีพังผืดไปเกาะยึด ส่งผลให้เกิดอาการหดรั้ง เกร็งตัว ของเนื้อเยื่อบริเวณนั้นๆ จนเลือดไหลเวียนไม่สะดวก จึงเกิดอาการปวดขึ้น
อาการปวดหลังในลักษณะนี้ มักจะเริ่มต้นจากอิริยาบถที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรืออาจเกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อหลังที่หนักเกินไป อาการกล้ามเนื้อหลังอักเสบนั้นสามารถแยกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1. กล้ามเนื้อหลังอักเสบแบบเฉียบพลัน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังอย่างรุนแรง และจะไม่สามารถทำในบางอิริยาบถได้เช่น ยืนตรงไม่ได้ นั่งปกติไม่ได้ หรือ เดินไม่ได้ เป็นต้น ในบางเคส อาจมีอาการดึงรั้งทำให้หลังเอียงร่วมด้วย
2. กล้ามเนื้อหลังอักเสบเรื้อรัง
อาการของผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะไม่รุนแรงเท่ากลุ่มแรก โดยอาจจะปวดหลังเมื่ออยู่ในอิริยาบถใด อิริยาบถหนึ่ง เช่น ปวดหลังเวลานั่งนานๆ ปวดหลังเวลาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ปวดหลังเวลาก้ม เป็นต้น อาการปวดหลังในลักษณะนี้จะเป็นแบบปวดเรื่อยๆ เป็นๆ หายๆ อยู่ตลอด
ซึ่งผู้ป่วยในกลุ่มนี้ เมื่อเทียบกับการปวดหลังแบบเฉียบพลันแล้ว มักจะไม่ค่อยรักษาอาการปวดให้หายแบบจริงจัง เนื่องจากอาการปวดหลังแบบเรื้อรังนี้ จะเป็นๆ หายๆ อยู่เสมอ บางช่วงที่ไม่มีอาการ ผู้ป่วยจึงไม่รู้สึกว่าต้องรีบรักษา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่มีอาการปวดหลังแบบนี้ หากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกหลัก อาการจะสามารถพัฒนากลายไปเป็นอาการปวดที่รุนแรง หรือสามารถพัฒนาไปเป็นภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ได้ในอนาคต
หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หมอนรองกระดูกปลิ้น กระดูกทรุด หรือกระดูกเสื่อม
อาการปวดหลังลักษณะนี้ จะเป็นอาการปวดหลังที่รุนแรงกว่าอาการปวดที่เกิดจากกล้ามเนื้อ เนื่องจากส่วนหนึ่งของหมอนรองกระดูกจะมีการเคลื่อนไปกดทับโดนเส้นประสาท ที่ควบคุมการทำงานของ สะโพก ต้นขา น่อง และ ปลายเท้า
ดังนั้นอาการที่เกิดขึ้น จะไม่จำกัดอยู่ที่บริเวณหลังอย่างเดียว ที่พบได้บ่อยที่สุดคือ ผู้ป่วยจะมีอาการ ปวดร้าวลง สลักเพชร สะโพก หน้าแข้ง จนถึง ข้อเท้า นอกจากนี้ในหลายๆ เคส จะมีอาการ ชาขา ชาปลายเท้า รวมถึง ขาอ่อนแรง ร่วมด้วย เนื่องจากเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของขา โดนกดทับ และไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
อาการกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (Piriformis)
กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท อาการของกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาทนั้น จะคล้ายกับอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท คือ จะมีอาการปวดสะโพก ปวดสลักเพชร ปวดก้น ในบางเคสจะมีอาการปวดร้าวลงขา ขาชา แต่จะไม่มีอาการปวดหลัง
สาเหตุของอาการกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาทนั้น เกิดจากกล้ามเนื้อภายในก้น (ที่มีชื่อว่า ฟิริฟอร์มิส ที่ทำหน้าที่ช่วยให้ต้นขาเคลื่อนไหวได้ปกติ) เกิดการหดเกร็งจนไปบีบรัดเส้นประสาท จึงทำให้เกิดอาการปวดชาที่ก้น สะโพก ร้าวลงขา ในบางเคส อาจมีอาการเสียวแปล๊บที่ ก้น หรือ สะโพก เวลาเปลี่ยนอิริยาบถ
อาการสะโพกเสื่อม
ผู้ป่วยที่มีอาการสะโพกเสื่อมนั้น มักจะมีอาการปวดสะโพก สะโพกแข็งล็อค รู้สึกว่าขา 2 ข้างสั้นยาวไม่เท่ากัน เดินโยก ขาอ่อนแรง โดยส่วนมากอาการสะโพกเสื่อมนั้น มักจะมาจาก
- การบาดเจ็บที่เกิดจากอุบัติเหตุ บริเวณสะโพก เช่น การกระแทก กระชาก เหวี่ยง เป็นต้น
- การบาดเจ็บเรื้อรังของกล้ามเนื้อหรือหมอนรองกระดูกสันหลัง และไม่ได้รับการรักษา ส่งผลให้การอักเสบลุกลามไปสู่บริเวณสะโพก และเกิดพังผืดไปยึดเกาะตามกล้ามเนื้อและเอ็นที่มีปัญหา เมื่อพังผืดพอกพูนขึ้นจนยึดล็อคข้อสะโพก สะโพกจะเริ่มเกิดอาการเสื่อม และเริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เกิดการติดขัดในการเคลื่อนไหว เดินลำบาก เดินโยก ขึ้นลงบันไดไม่ได้ กางหรือหุบขาไม่ได้ เพราะจะมีอาการปวดสะโพก ปวดขาหนีบ ในเคสที่รุนแรงมากๆ ขาจะอ่อนแรงลงเนื่องจากกล้ามเนื้อที่ควบคุมข้อสะโพกอ่อนแอเพราะใช้งานไม่ได้
อาการขาชา ขาอ่อนแรง
อาการขาชา ขาอ่อนแรงนี้ โดยมากแล้วจะเป็นอาการที่มาจากเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานส่วนขา ถูกรบกวนจนทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งเส้นประสาทนี้จะอยู่บริเวณกระดูกสันหลังและยาวลงมาตามขาทั้ง 2 ข้าง จะเริ่มต้นที่อยู่บริเวณกระดูกสันหลังและยาวลงมาตามขาทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยที่มีอาการขาชา ขาอ่อนแรง ส่วนใหญ่แล้วจะเคยมีปัญหาปวดหรือเมื่อยหลังมาก่อน แต่อาจไม่ได้รักษาให้หาย จนทำให้อาการอักเสบนั้นลุกลามไปยังบริเวณเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของขา ซึ่งสาเหตุหลักของอาการนี้คือ
- หมอนรองกระดูก หรือ กระดูก เคลื่อนที่ผิดตำแหน่งและไปกดทับโดนเส้นประสาท
- กล้ามเนื้อบริเวณสันหลังเกิดการหดเกร็งตัว จนไปเบียดเส้นประสาท
ผู้ป่วยที่มีอาการขาชา ขาอ่อนแรง ในบางราย อาจมีอาการปวดหลังร่วมด้วย ซึ่งปกติแล้วในระยะแรกนั้นผู้ป่วยจะเริ่มจากการชา หรือ่อนแรงเพียงข้างเดียว แต่หากยังปล่อยไว้ ไม่รักษาให้หาย ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการอีกข้างตามมา โดยอาจจะมีอาการสลับกันไปมาในแต่ละวัน แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว จะมีอาการชา หรือ อ่อนแรงทั้ง 2 ข้าง ในบางรายที่มีอาการหนัก ขาจะอ่อนแรงจนไม่สามารถเดินได้
ทำไมการรักษาของเรา จึงช่วยคุณได้
การรักษาของเราจะเน้นการแก้ปัญหาอย่างครอบคลุมในทุกเนื้อเยื่อที่เกี่ยวพันกัน โดยจะเน้นการสลายพังผืดและจุด trigger point ในชั้นกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ และเส้นประสาท
โดยเมื่อพังผืดและจุดยึดเกร็งถูกสลายออกจนหมด กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ เส้นประสาท ก็จะกลับไปมีสุขภาพดีดังเดิม อาการปวด ชา ตึง แสบร้อน อ่อนแรง ก็จะหมดไป และไม่กลับมาเป็นซ้ำๆ อีก เพราะสาเหตุหลักของปัญหาได้ถูกกำจัดออกไป
โดยการรักษาจะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ
1. การคลายกล้ามเนื้อชั้นบน-ชั้นลึก
ในขั้นตอนนี้จะเป็นการทำให้กล้ามเนื้อชั้นบน และกล้ามเนื้อชั้นลึก คลายตัวจากอาการตึงเครียดและอาการหดเกร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุของ อาการตึง เมื่อย ตะคริว หรืออาการปวดลึกๆ ในมัดกล้ามเนื้อบริเวณต่างๆ
การนวดในขั้นตอนนี้จะช่วยรักษาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อในระยะเริ่มแรก ซึ่งได้แก่ อาการกล้ามเนื้อหลังอักเสบ กล้ามเนื้อก้นอักเสบ กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท หรือ อาการกล้ามเนื้อต้นขาอักเสบ เป็นต้น
2. การสลายพังผืดและจุดยึดเกร็ง (trigger point)
ในขั้นตอนนี้จะเน้นการสลายพังผืดและจุด trigger point ที่ฝังตัวอยู่ในมัดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ที่ขัดขวางไม่ให้เลือดนำพาสารอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงได้สะดวก ทำให้เกิดอาการปวด แข็ง ตึง บริเวณหลัง เอว สะโพก ขา
นอกจากนี้ จะต้องมีการสลายพังผืดที่ไปเบียดรบกวนเส้นประสาทบริเวณใกล้เคียง ทำให้เส้นประสาทชุดนั้นๆ ทำงานได้ไม่เต็มที่จึงทำให้เกิด อาการ ปวด ชา แสบร้อน ไฟช็อต ยิบๆ หรืออาการผิดปกติอื่นๆ อาการที่พบได้บ่อยคือ ขาชา ก้นชา แสบร้อนต้นขา ไฟช็อตลงขา เป็นต้น
ในกรณีของผู้ที่มีภาวะหมอนรองกระดูกและข้อต่อผิดปกติ การรักษาในขั้นตอนนี้จะมีการสลายพังผืดที่เกาะอยู่ตามข้อต่อ หรือหมอนรองกระดูก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้อต่อ และ หมอนรองกระดูกเกิดการแข็งตัว ยึดล็อค ไม่ยืดหยุ่น ผิดรูป จนเคลื่อนตัวไปทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดหลังร้าวลงขา ปวดสะโพกร้าวลงขา เสียวหน้าแข้ง ขาอ่อนแรง ขาลีบ เป็นต้น
การ นวดแก้อาการ ด้วยการสลายพังผืดและสลายก้อน trigger point นี้ จะเป็นการกำจัดปัญหาจากต้นเหตุอย่างแท้จริง เพราะเมื่อพังผืดและ trigger point ถูกสลายออกจนหมดแล้ว กล้ามเนื้อ เอ็น หมอนรองกระดูก และข้อต่อ จะกลับมามีสุขภาพที่ดีดังเดิม ไม่หดเกร็ง ไม่ยึดรั้ง
เมื่อเนื้อเยื่อบริเวณที่มีปัญหาคลายตัวกลับสู่สภาพปกติ เส้นประสาทจะกลับไปทำงานได้ปกติ เลือดจะสามารถนำสารอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณนั้นได้เต็มที่อีกครั้ง อาการปวด อาการอักเสบ รวมถึงอาการผิดปกติต่างๆ จะหายไป และไม่กลับมาอีก เพราะต้นเหตุถูกกำจัดออกไปอย่างถาวร