จบทุกอาการปวด อย่างยั่งยืน เราเน้นการรักษา เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างถาวร
ให้รายละเอียดอย่างตรงไปตรงมา ไม่เลี้ยงไข้ ไม่มีการเชิญชวนให้ซื้อผลิตภัณฑ์ใดๆ
เรามั่นใจในผลการรักษาที่แตกต่างอย่างชัดเจน และผลลัพธ์ของผู้ป่วยที่ดีขึ้นอย่างถาวร
แก้ปัญหาตั้งแต่ชั้นกล้ามเนื้อ เส้นลม เส้นเอ็น ข้อต่อ หมอนรองกระดูก พังผืด และเส้นประสาท
อาการปวดข้อมือสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบหลักๆ ได้แก่
1. Tennis Elbow หรือ อาการปวดข้อศอกด้านนอก
เป็นอาการที่พบได้บ่อยใน ผู้เล่นกีฬาเทนนิส หรือผู้ที่ต้องอยู่ในท่าเหยียดแขน หรือท่ากระดกข้อมือซ้ำๆ เป็นเวลานาน ทำให้เอ็นข้อศอกด้านนอกอักเสบ รวมถึง กล้ามเนื้อข้อศอกด้านนอก และกล้ามเนื้อแขนอักเสบ ในบางรายอาจมีอาการปวดข้อมือร่วมด้วย
โดยระยะแรก ผู้ป่วยอาจจะเกิดอาการปวดข้อศอกเล็กน้อย และอาจปวดเฉพาะเวลาขยับข้อมือหรือขยับแขน หากไม่รักษาและปล่อยให้เรื้อรัง ผู้ป่วยจะเริ่มปวดมากขึ้นจนถึงขั้นปวดตลอดเวลา และอาจส่งผลให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวันลำบาก เช่น การหยิบจับสิ่งของ การยกของ การงอแขน หรือแม้แต่การยกแก้วดื่มน้ำ เป็นต้น
2. Golfer’s elbow หรือ ปวดข้อศอกด้านใน
อาการนี้จะเป็นการปวดข้อศอกด้านใน โดยจะพบบ่อยในผู้ที่ตีกอล์ฟเป็นประจำ เนื่องจากอาการนี้จะสัมพันธ์กับกล้ามเนื้อและเอ็นที่ใช้ในการเหวี่ยงแขนตีกอล์ฟ หรือสามารถพบได้ในผู้ที่ต้องใช้งานข้อศอกบ่อยๆ ได้เช่นกัน
สาเหตุของอาการปวดศอกด้านในนี้ เกิดจาดการอักเสบของเอ็นกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณปุ่มข้อศอกด้านในที่เรียกว่า Medial Epicondyle ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อศอกในบริเวณนี้ และอาการจะปวดมากเมื่อมีการเหยียดแขนและกระดกข้อมือขึ้น และในผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง อาจจะมีอาการปวดตลอดเวลา รวมถึงอาจจะมีอาการปวดร้าวลงแขน และข้อมือด้วย
อาการปวดข้อมือที่พบบ่อยๆ มีดังนี้
1. ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ (De quervain’s disease)
โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ สามารถพบได้บ่อยในกลุ่มคนที่ใช้งานข้อมือในลักษณะซ้ำๆ โดยเฉพาะในท่าที่ต้องกางนิ้วหัวแม่มือออก เช่น ซักผ้า บิดผ้า ขัดถูก เป็นต้น นอกจากนี้อาการนี้ยังพบได้บ่อยในคุณแม่หลังคลอดที่ต้องใช้ข้อมือมากๆ ในการอุ้มลูก หรือ ยกตัวเด็ก
อิริยาบทในท่าดังกล่าวส่งผลให้เกิดการอักเสบของเยื่อหุ้มเอ็นและเส้นเอ็น (บริเวณข้อมือด้านหลังทางฝั่งนิ้วโป้ง) จนเอ็นหุ้มข้อมือเกิดการหนาตัวขึ้น ทำให้มีการบีบรัดหรือหดตัวของเส้นเอ็น และเกิดเป็นอาการปวดขึ้น
ผู้ป่วยที่เป็นปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบจะมีอาการปวดบริเวณข้อมือมากโดยเฉพาะด้านนิ้วหัวแม่มือ เมื่อกางนิ้วหัวแม่มือออกเต็มที่ จะมีอาการคล้ายมีดบาด ร้าวไปตามทิศทางของเอ็นที่มีการอักเสบ หากมีอาการรุนแรงมาก จะเกิดการบวมบริเวณปลอกหุ้มเอ็นใกล้ๆ กับข้อมือ และทำให้การหยิบสิ่งของเป็นไปด้วยความยากลำบาก
2. Mobile Syndrome หรือ Smartphone Syndrome
เป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือนานๆ โดยอาการทั่วไปจะใกล้เคียงกับ Office Syndrome คือมีอาการปวดบริเวณคอ บ่า ไหล่ แต่ในส่วนของ Mobile Syndrome มักมีการปวดเกร็งบริเวณฝ่ามือ ข้อมือ นิ้วมือ และแขนร่วมด้วย
เนื่องจากการอยู่ในท่าที่ใช้มือถือนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการเกร็งตัวจนมีพังผืดไปเกาะยึดรั้ง ในผู้ป่วยที่มีอาการหนัก อาจมีอาการบวมร่วมด้วย โดยอิริยาบถที่ผู้ป่วยจะรู้สึกเกร็งและปวดอย่างชัดเจน คือเมื่ออยู่ในท่านิ้วมือทั้งสี่กำนิ้วโป้งไว้ เหยียดแขนตรงไปด้านหน้า แล้วกดกำมือลง
3. โรคเส้นประสาทมีเดียนกดทับที่ข้อมือ (Carpal tunnel syndrome)
Carpal Tunnel Syndrome เกิดจากเส้นประสาทมีเดียนถูกบีบอัดหรือกดทับบริเวณข้อมือ ซึ่งอาจมีปัจจัยต่างๆ ที่เป็นสาเหตุ เช่น อุบัติเหตุบริเวณข้อมือ ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อบริเวณข้อมือ กระดูกข้อมือหักหรือเคลื่อน การใช้งานมือและข้อมือที่ไม่เหมาะสมติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น แม่บ้าน แม่ครัว เป็นต้น
เมื่อเกิดการกดทับของเส้นประทำให้เส้นประสาทกลางฝ่ามือขาดเลือดมาเลี้ยงและทำงานผิดปกติไปจากเดิม จึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บ ชา และเป็นเหน็บบริเวณมือ และแขน อาจมีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณฝ่ามือกับนิ้วมือได้ โดยเฉพาะนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ อาจรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตที่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางเป็นบางครั้ง โดยไม่มีอาการดังกล่าวที่นิ้วก้อย ทำให้ไม่สามารถใช้มือได้ตามปกติในชีวิตประจำวัน เช่น ติดกระดุมไม่ได้ หรือทำสิ่งของหลุดมือ เป็นต้น
อาการปวดข้อเท้า ไม่ว่าจะเป็น ข้อเท้าพลิก ข้อเท้าแพลง หรือ เอ็นข้อเท้าอักเสบนั้น เป็นการบาดเจ็บที่สามารถเกิดจากการเล่นกีฬา การเดินสะดุด หรือแม้แต่การใส่รองเท้าส้นสูง โดยเมื่อเกิดอาการข้อเท้าพลิก หรือ ข้อเท้าแพลงขึ้น เอ็นและเนื้อเยื่อรอบข้อเท้าจะเกิดการฉีกขาด โดยอาจจะฉีกขาดเพียงเล็กน้อยหรือฉีกขาดรุนแรง ส่งผลให้เกิดการอักเสบในบริเวณนั้นๆ
และหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี พังผืดจะเริ่มไปยึดเกาะบริเวณที่ฉีกขาด และลุกลามไปตามเนื้อเยื่อรอบข้าง จนกล้ามเนื้อและเอ็นข้อเท้าอ่อนแอลงและไม่แข็งแรงดังเดิม ส่งผลให้ข้อเท้าเกิดความไม่มั่นคง พลิกบ่อยมากขึ้น หากพังผืดลุกลามจนไปเบียดเส้นประสาทให้ทำงานผิดปกติ ผู้ป่วยอาจจะมีอาการเท้าบวมบ่อยๆ หรือมีอาการแสบร้อนที่เท้า หรือชาเท้า โดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น
เอ็นร้อยหวายอักเสบเกิดจากการทำกิจกรรมซ้ำๆ หรือใช้งานเอ็นร้อยหวายมากเกินไปจนทำให้เกิดความ ตึง เครียด ต่อเส้นเอ็น และเกิดการบาดเจ็บในที่สุด โดยส่วนใหญ่มักพบในการออกกำลังกายและการเล่นกีฬา เช่น การวิ่งที่มากเกินไป หรือ ขาดการยืดกล้ามเนื้ออย่างเหมาะสมก่อนการออกกำลังกาย หรือการเล่นกีฬาที่ต้องใช้กล้ามเนื้อน่องมาก เช่น บาสเกตบอล กระโดดสูง เป็นต้น
เมื่อเอ็นร้อยหวายเกิดการบาดเจ็บ จะส่งผลให้มีการอักเสบ บวมแดง บริเวณเอ็นร้อยหวาย ส้นเท้า หรืออาจเจ็บลามไปถึงกล้ามเนื้อน่อง โดยอาการปวดจะเป็นมากขึ้นขณะทำกิจกรรมต่างๆ เช่นการเดิน หรือการเล่นกีฬา ในผู้ป่วยที่มีอาการมากๆ จะไม่สามารถลงน้ำหนักข้างที่มีปัญหาได้เต็มที่
คือ ภาวะที่มีการอักเสบของเอ็นใต้ฝ่าเท้า ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่บริเวณส้นเท้าต่อเนื่องไปจนถึงเอ็นร้อยหวาย โดยสาเหตุที่พบบ่อยจะเกิดจาก
โดยผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดบริเวณส้นเท้า และจะเป็นมากในตอนเช้า เมื่อก้าวลงจากที่นอน ซึ่งอาการปวดอาจจะค่อยๆ เบาลงเมื่อเดินไปได้ 2-3 ก้าว หรือ อาจจะปวดแบบเป็นๆ หายๆ สลับกันไป แต่ในผู้ป่วยที่มีอาการหนัก จะปวดตลอดเวลา และอาการปวดอาจลุกลามไปที่เอ็นร้อยหวาย และกล้ามเนื้อน่องได้
การรักษาของเราจะเน้นการแก้ปัญหาอย่างครอบคลุมในทุกเนื้อเยื่อที่เกี่ยวพันกัน โดยจะเน้นการสลายพังผืดและจุดยึดเกร็ง (Trigger point) ในชั้นกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ และเส้นประสาท โดยเมื่อพังผืดและจุดยึดเกร็งถูกสลายออกจนหมด กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ เส้นประสาท ก็จะกลับไปมีสุขภาพดีดังเดิม อาการปวด ชา ตึง แสบร้อน อ่อนแรง ก็จะหมดไป และไม่กลับมาเป็นซ้ำๆ อีก เพราะสาเหตุหลักของปัญหาได้ถูกกำจัดออกไป
1. การคลายกล้ามเนื้อชั้นบน-ชั้นลึก
ในขั้นตอนนี้จะเป็นการทำให้กล้ามเนื้อชั้นบน และกล้ามเนื้อชั้นลึก คลายตัวจากอาการตึงเครียดและอาการหดเกร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุของ อาการตึง เมื่อย หรืออาการปวดลึกๆ ในมัดกล้ามเนื้อบริเวณต่างๆ การนวดในขั้นตอนนี้จะช่วยรักษาอาการตึงรั้งของกล้ามเนื้อ เช่น อาการปวดน่องใกล้เอ็นร้อยหวาย อาการปวดแขนร้าวจากข้อศอกลงมา เป็นต้น
2. การสลายพังผืดและจุดยึดเกร็ง (trigger point)
ในขั้นตอนนี้จะเน้นการสลายพังผืดและจุดยึดเกร็งที่ฝังตัวอยู่ในมัดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทำให้เกิดอาการอักเสบ อาการชา อาการแสบร้อน ในบริเวณต่างๆ เช่น เอ็นข้อศอก เอ็นฝ่ามือ ปลอกหุ้มเอ็นข้อมือ เอ็นร้อยหวาย ส้นเท้า เป็นต้น ทำให้เอ็นและกล้ามเนื้อที่อ่อนแอจากพังผืดกลับมายืดหยุ่นได้ดี และแข็งแรงอีกครั้ง
นอกจากนี้ จะมีการสลายพังผืดที่เกาะอยู่ตามข้อต่อต่างๆ เช้น ข้อศอก ข้อเท้า ตาตุ่ม ข้อนิ้วมือ ซึ่งพังผืดเหล่านี้คือสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดตามข้อ หรือ ข้ออักเสบ
การ นวดแก้อาการ ด้วยการสลายพังผืดและจุดยึดเกร็งนี้ จะเป็นการกำจัดปัญหาจากต้นเหตุอย่างแท้จริง เพราะเมื่อพังผืดถูกสลายออกจนหมดแล้ว กล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อ จะกลับมามีสุขภาพที่ดีดังเดิม ไม่หดเกร็ง ไม่ยึดรั้ง
เมื่อเนื้อเยื่อบริเวณที่มีปัญหาคลายตัวกลับสู่สภาพปกติ เส้นประสาทจะกลับไปทำงานได้ปกติ และเลือดสามารถนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณนั้นได้เต็มที่อีกครั้ง อาการปวด อาการอักเสบ รวมถึงอาการผิดปกติต่างๆ จะหายไป และไม่กลับมาอีก เพราะต้นเหตุถูกกำจัดออกไปอย่างถาวร
เน้นการรักษาที่ทำให้ร่างกายดีขึ้นอย่างยั่งยืน กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ไม่กลับมาบาดเจ็บซ้ำๆ ในอนาคต
ผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง รู้สึกดีขึ้น ตั้งแต่ครั้งแรก ที่ได้รับการรักษา
ค่าใช้จ่ายเพียง 900 – 2500/ครั้ง รักษาเพียงเดือนละ 1 ครั้ง คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้จากการรักษา
ได้ผลการรักษาแบบหลักแสน ในราคาเพียงหลักพัน ถูกกว่าถึง 20 เท่า
ผู้ป่วยที่มีอาการไม่เกิน 3 เดือน สามารถหายได้ ด้วยการ รักษาเพียง 2 ครั้ง ***
กระดูกทับเส้น
ปวดหลังร้าวลงขา
ขาชา ขาอ่อนแรง
ปวดหลังเรื้อรัง
ปวดสะโพก สะโพกเสื่อม
ออฟฟิศซินโดรม
ปวดคอ บ่า สะบัก
กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท
ปวดร้าวลงแขน
แขนชา แขนอ่อนแรง
ปวดไมเกรน
ไหล่ติด
ปวดเข่า เอ็นเข่าอักเสบ
ปวดข้อมือ ปวดข้อศอก
เอ็นข้อเท้าอักเสบ
รองช้ำ
*** ต้องเป็นผู้ป่วยที่ไม่เคยมีอาการนี้มาก่อน และไม่เคยเป็นๆ หายๆ มาก่อน ***
ผลการรักษาอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
หากคุณอยากจบอาการนี้อย่างถาวร เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่คนรอบข้าง
หากคุณอยากกลับไปทำงาน หรือออกกำลังกายได้เต็มที่อีกครั้ง
หากคุณอยากลาขาดจากอาการที่เป็นอยู่ ไม่ให้รบกวนชีวิตคุณอีกต่อไป
ที่คลินิกเราเน้นการนวดแก้อาการด้วยวิธีสลายพังผืดและจุดยึดเกร็ง (Trigger point)
อาการปวดโดยมากแล้วจะเกิดจากการที่กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือข้อต่อ มีพังผืดไปยึดเกาะ จนทำให้เกิดการตึงเครียด ของเนื้อเยื่อบริเวณนั้นและทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้สะดวก จึงเกิดการอักเสบ การปวด ขึ้น
และหากบริเวณดังกล่าวมีพังผืดไปเกาะมากจนเป็นก้อนหนา และเริ่มไปเบียดรบกวนเส้นประสาทเข้า เส้นประสาทนั้นๆ จะเริ่มทำงานไม่ปกติ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการผิดปกติอื่นๆ ตามมา เช่น อาการชา แสบร้อน อ่อนแรง อาการหนาๆ เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้ แพทย์แผนปัจจุบันมักจะหาสาเหตุไม่พบ และจะวินิจฉัยว่าเป็นอาการปลายประสาทอักเสบ
การนวดแก้สลายพังผืดนั้น สามารถทำได้ในทุกส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น หลัง สะโพก ต้นขา หัวเข่า ข้อเท้า ส้นเท้า คอ บ่า ไหล่ แขน ข้อมือ ฝ่ามือ เป็นต้น เพราะจุดใดก็ตามที่มีการเกร็งตัวหรือการอักเสบ จุดนั้นจะมี trigger point เกิดขึ้นและจะเริ่มมีพังผืดไปเกาะคลุม ดังนั้นหากต้องการคลายความหดเกร็งและกำจัดการอักเสบออก ก็จำเป็นต้องกำจัดทั้งพังผืดและจุด trigger point ออกไป
การนวดสลายพังผืดออกนั้น จะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของอาการผิดปกติทั้งหมด เพราะถ้าไม่มีพังผืดไปยึดเกาะแล้ว กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นเลือด เส้นประสาท ก็จะกลับไปทำงานได้ปกติ มีสุขภาพดีดังเดิม อาการผิดปกติต่างๆ ก็จะหายไปและไม่เกิดขึ้นอีก
การนวดที่จะรักษาอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้นั้น จะต้องเป็นการนวดที่เน้นการสลายพังผืดเป็นหลัก เนื่องจากต้นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนตัวผิดตำแหน่งนั้น โดยมากจะเกิดจากการที่มีพังผืดไปเกาะยึดระหว่าง หมอนรองกระดูก และกล้ามเนื้อรอบๆ ของหมอนรองกระดูกนั้นๆ จนเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวเกิดความตึงเครียดและดึงรั้งกัน จนดึงให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนที่ออกมาทับเส้นประสาท
ดังนั้นการรักษาที่จะทำให้ได้ผลอย่างแท้จริงคือการสลายพังผืดที่เป็นตัวยึดรั้งให้หมอนรองกระดูกที่อยู่ผิดตำแหน่ง หรือ ที่ปลิ้นออกมา ให้สลายออกไป เมื่อไม่มีพังผืดคอยดึงรั้ง หมอนรองกระดูกก็สามารถเคลื่อนที่กลับสู่ตำแหน่งเดิมได้ตามกลไกการฟื้นฟูของร่างกาย และไม่กลับมาปลิ้นทับเส้นประสาทอีกในอนาคต
นี่คือสาเหตุว่าทำไมผู้ป่วยหลายท่าน ถึงแม้จะรักษาด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การทำกายภาพ การจัดกระดูก ทานยา ทานอาหารเสริมแล้ว อาการถึงไม่หายขาด หรือดีขึ้นแต่ก็กลับมาปวดใหม่ซ้ำๆ นั่นเป็นเพราะตัวพังผืดที่เป็นสาเหตุหลักนั้น ไม่ได้ถูกกำจัดออกไป
เหตุผลที่แพทย์สั่งห้ามนวดเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะการนวดทั่วๆ ไป โดยผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญนั้น ย่อมก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี เพราะทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าจะมีผู้ประกอบอาชีพหมอนวดจำนวนมาก แต่เรากลับหาผู้ที่เชี่ยวชาญในการนวดรักษาได้น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในเรื่องกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ พังผืด อย่างแท้จริง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แพทย์จะสั่งห้ามนวด เพราะผู้ป่วยมีแนวโน้มสูงที่จะได้เจอกับหมอนวดที่ไม่ชำนาญและอาจทำให้บาดเจ็บมากขึ้นกว่าเดิม
ในกรณีของกระดูกเสื่อม กระดูกทรุดนั้น ก็จะมีสาเหตุที่คล้ายคลึงกับอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท คือเกิดจากร่างกายสร้างพังผืดมากเกาะบริเวณข้อกระดูกที่มีปัญหา ส่งผลให้ข้อกระดูกเกิดการแข็งตัวและไม่ยืดหยุ่น
โดยที่ถ้าเป็นกระดูกเสื่อมนั้น เวลาทำ X-RAY หรือ MRI จะมองไม่เห็นข้อกระดูกบริเวณที่โดนพังผืดปกคลุม แพทย์ก็จะวินิจฉัยว่าเป็นกระดูกเสื่อม ซึ่งจริงๆ แล้วสามารถรักษาได้โดยการนวดสลายเอาพังผืดที่เกาะบริเวณรอบข้อกระดูกนั้นออก ผู้ป่วยก็จะกลับมามีข้อกระดูกที่ยืดหยุ่นดังเดิม
ในกรณีของกระดูกทรุด จะเกิดจากการที่มีพังผืดเกาะยึดบริเวณข้อกระดูก 2 ข้อ (ข้อบน - ข้อล่าง) โดยพังผืดที่เกาะนั้นค่อยๆ ดึงให้ข้อกระดูกทั้ง 2 ข้อนี้ชิดเข้าหากัน จนหมอนรองกระดูกถูกบีบยุบตัวลง และข้อกระดูกบน-ล่าง ทรุดติดกัน เกิดการกดทับเส้นประสาทในบริเวณนั้นๆ
การนวดที่สามารถรักษาอาการนี้ได้ จะต้องเป็นการนวดที่เน้นสลายพังผืดออก เพื่อที่ทำให้กระดูกข้อบน-ล่าง ค่อยๆ คลายตัวออกจากกันและเคลื่อนตัวออกจากการกดทับเส้นประสาท
ไม่ เพราะการนวดสลายพังผืดของทางคลินิก จะเป็นการนวดโดย target ไปเฉพาะบริเวณที่มีพังผืด และ trigger point เท่านั้น เพราะทุกครั้งที่เกิดการอักเสบ ไม่ว่าจะเป็นใน กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ หรือเส้นประสาท ย่อมมีพังผืดหรือ trigger point เกิดควบคู่อยู่เสมอ
หากพังผืดและ trigger point ถูกสลายออกไป อาการอักเสบจะคลายตัวลงอย่างชัดเจน ส่วนความเจ็บหรืออาการระบมที่เกิดจากการนวดนั้น เป็นเพียงอาการชั่วคราวหลังการทำหัตถการ ไม่ใช่ความเจ็บที่ทำให้เกิดการอักเสบแต่อย่างใด เพราะไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการสร้างพังผืดใหม่ เหมือนอย่างการกระแทก การยกของผิดจังหวะ การประสบอุบัติเหตุ หรือการใช้งานกล้ามเนื้อที่มากจนเกินไป
*** ต้องไม่เคยมีอาการนี้หรืออาการที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันมาก่อน
ระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการสะสมมา
สภาพกล้ามเนื้อของผู้ป่วย
การรักษาของทางคลินิก ถ้าผู้ป่วยรักษาจนหายดีแล้ว จะสามารถกลับไปออกกำลังกายได้ ยกของได้ นั่งนานได้ ทำทุกอย่างได้เต็มที่ ไม่มีข้อจำกัด ร่างกายจะเหมือน reset กลับเป็น 0 ใหม่เลย จนกว่าผู้ป่วยมีเหตุให้ร่างกายได้รับการบาดเจ็บครั้งใหม่ เช่น ไปล้มมา หรือไปออกกำลังกายผิดท่า เป็นต้น
แต่ถ้าจะต้องอยู่ในท่าเดิมตลอด ร่างกายก็จะเริ่มสะสมพังผืดใหม่ แต่จะใช้เวลานานมาก (เป็น 10 ปี) กว่าจะกลับมาปวดมากอีกครั้ง ซึ่งทางคลินิกจะแนะนำว่า หากทำการรักษาจนหายดีแล้ว ผู้ป่วยอาจจะต้องหมั่นยืดเหยียดกล้ามเนื้อบริเวณที่ใช้งานบ่อยๆ เพื่อป้องกันการตึงเครียดของกล้ามเนื้อจนทำให้มีพังผืดมาเกาะอีกครั้ง
ทางคลินิกจะใช้ ข้อศอก นิ้วมือ และไม้นวดเล็กๆ ประกอบกันในการรักษา
เดือนละ 1 ครั้ง หรือ เมื่อมีอาการกลับมาอีกครั้ง
เราเชื่อว่าการรักษาที่ทำให้เห็นผลนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความถี่ในการรักษา แต่ขึ้นอยู่กับว่าการรักษานั้นๆ สามารถแก้อาการได้ตรงจุดหรือไม่ การรักษาที่ตรงจุดเพียงครั้งเดียว ย่อมให้ผลที่มากและยาวนานกว่า การแก้ที่ไม่ตรงจุด 10 ครั้ง
การรักษาของทางคลินิกจะให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างแตกต่างจากการนวดหรือการรักษาอื่นๆ เราจะมี step ในการรักษาที่ไม่เหมือนการนวดทั่วไป ในกรณีที่ผู้ป่วยเห็นผลและมีอาการดีขึ้นจากการรักษานั้น ผลการรักษาจะอยู่ได้ค่อนข้างยาวนาน ดังนั้นถ้าผลการรักษายังดีอยู่ ทางคลินิกก็จะยังไม่แนะนำให้เข้ามารักษาอีกจนกว่าจะเริ่มกลับมามีอาการอีกครั้ง
ในกรณีที่ผู้ป่วยยังมีอาการเหลืออยู่หลังจากการรักษา ผู้ป่วยสามารถเข้ามารักษาได้เร็วกว่าเดือนละ 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ผู้ตรวจเป็นสำคัญ
ปกติเวลาในการรักษาจะอยู่ที่ 30-90 นาที ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยที่เป็นมา
ขณะรักษาจะค่อนข้างเจ็บกว่าการนวดทั่วไป เพราะเราเป็นการนวดเพื่อรักษา ไม่ใช่นวดผ่อนคลาย การรักษาของทางคลินิกจะเหมาะสำหรับผู้ที่ทนเจ็บได้ ที่คลินิกจะไม่มีการกระแทก บิด หัก แอ่น กระชากใดๆ ความเจ็บที่เกิดขึ้นนั้นจะเกิดจากการคลึงสลายพังผืด และการสลายจุดยึดเกร็ง ( trigger point) ออก
การนวดแก้อาการด้วยการสลายพังผืดนี้ ไม่มีอันตรายใดๆ การรักษาจะมีลักษณะคล้ายๆ การเขี่ย/แกะ/คลึง ไปตามบริเวณที่มีปัญหา ไม่ได้ใช้ความรุนแรง เพียงแต่ขณะรักษาจะมีความเจ็บเกิดขึ้นเนื่องจากพังผืดที่ยึดเกาะนั้นมีความ เหนียว เกร็ง แข็ง แต่เมื่อพังผืดคลายตัวออกแล้ว อาการเจ็บก็จะหายไป
มีบ้างแต่ไม่ทุกคน อาการระบมและฟกช้ำที่เกิดขึ้นจะสามารถหายไปเองได้ใน 3-10 วัน โดยอาการระบมจะเป็นลักษณะเจ็บๆ บนผิวบริเวณที่ถูกรักษา ซึ่งสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่ต้องนอนพักฟื้นใดๆ
ส่วนอาการฟกช้ำมักจะเกิดในผู้ที่มีการรักษาในบริเวณที่มีไขมันเยอะๆ เช่น ต้นขา ต้นแขน เป็นต้น ซึ่งรอยช้ำจะมีสีเข้มในช่วง 2-7 วันแรก และจะสามารถจางไปได้เอง ไม่มีอันตรายใดๆ
โดยปกติแล้วการรักษาจะไม่ทำให้เกิดแผลใดๆ แต่ทั้งนี้ในผู้ป่วยที่มีพังผืดเกาะในข้อต่อที่ลึกมากๆ อาจจะมีแผลถลอกเกิดขึ้นจากการรักษา (ประมาณ 0.8-1 cm) ซึ่งทางคลินิกจะให้ผู้ป่วยเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าต้องการจะให้รักษาบริเวณที่ลึกมากๆ นั้น ตอนนี้เลยหรือไม่ หากต้องการหลีกเลี่ยงแผลถลอก ผู้ป่วยสามารถเลือกที่จะค่อยๆ รักษาไป โดยแบ่งการรักษาออกเป็นหลายๆ ครั้งแทนได้
เริ่มต้นที่ 900 – 2,500 บาท/ครั้ง คลินิกสามารถออกใบรับรองแพทย์ (ใบรับรองการรักษา) ได้
ในกรณีที่เคยผ่าตัดในบริเวณที่จะรักษามาก่อน จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 500.
ผู้ป่วยต้องจองคิวล่วงหน้าก่อนเข้ารับการรักษา สามารถติดต่อจองคิวได้ทาง 082-356-2329 Line หรือ Facebook
คลินิกอยู่ฝั่งตรงข้ามมหาชัยเมืองใหม่ ขับรถเลยจากพระราม 2 ไปประมาณ 20 นาที สามารถดูแผนที่ได้ที่ด้านล่างเพจ