อาการ อัมพฤกษ์ จากเส้นเลือดในสมองตีบ/แตก รักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ หรือไม่

อาการ อัมพฤกษ์

อาการอัมพฤกษ์ หรืออาการแขนขาอ่อนแรง และแข็งเกร็งนั้น เป็นปัญหาที่สร้างความลำบากทั้งกับตัวผู้ป่วยเอง และคนในครอบครัว เนื่องจากผู้ป่วยจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เหมือนเดิม ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ และอาจนำพาให้ไม่สามารถทำงานได้ รวมถึงอาจส่งผลให้คนใกล้ชิด ต้องหยุดพักจากการทำงาน เพื่อมาดูแลผู้ป่วย

ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้หลายทาง ดังนั้นการรักษา และฟื้นฟูเส้นประสาท ในผู้ป่วยที่มีอาการอัมพฤกษ์จากเส้นเลือดในสมองตีบ/แตก ให้กลับมาช่วยเหลือตนเองได้นั้น จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ในบทความนี้เราจะพูดถึงอาการของอัมพฤกษ์ รวมถึงวิธีการรักษา และฟื้นฟูเส้นประสาท ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติดังเดิม

สารบัญเนื้อหา

1. อาการที่เกิดจากภาวะเส้นเลือดในสมองตีบ/แตก

2. การรักษาอาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง หรืออัมพฤกษ์ในปัจจุบัน

3. ทำไมการนวดฟื้นฟู และกระตุ้นให้เส้นประสาทกลับมาทำงานปกติ จึงให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

4. สิ่งที่ต้องรู้ก่อนการนวดฟื้นฟูและกระตุ้นเส้นประสาท

5. คำแนะนำส่งท้าย สำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีการรักษาอาการอัมพฤกษ์ จากเส้นเลือดในสมองตีบ/แตก

อาการที่เกิดจากภาวะเส้นเลือดในสมองตีบ/แตก

ในผู้ป่วยที่มีภาวะเส้นเลือดในสมองตีบ/แตกนั้น อาการจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสมองในส่วนที่เสียหายไป โดยสมองจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ซีก คือสมองซีกซ้าย และสมองซีกขวา ซึ่งจะทำงานแตกต่างกันไป โดยสมองซีกซ้ายจะควบคุมการทำงานของร่างกายซีกขวา และสมองซีกขวาจะควบคุมการทำงานของร่างกายซีกซ้าย ดังนั้นเมื่อสมองเกิดความเสียหาย ก็จะส่งผลต่อระบบกล้ามเนื้อ และเส้นประสาทที่สมองส่วนนั้นควบคุมอยู่ ซึ่งในแต่ละบุคคลจะมีอาการแตกต่างกันไป ซึ่งอาจมีบางอาการ หรือหลายอาการร่วมกันก็ได้ ดังนี้

1. แขนขาอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่ง หรือที่เรียกว่าอาการอัมพฤกษ์ซีกซ้าย/ขวา ส่งผลให้ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง หรือในบางรายอาจช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย โดยอาการอ่อนแรงจะมีลักษณะดังนี้

  • แขนอ่อนแรง เช่น ไม่สามารถยกแขนได้ หยิบจับสิ่งของไม่ได้ มือแข็งเกร็ง ไม่สามารถกำ-แบมือได้ปกติ
  • ขาอ่อนแรง ทำให้เดินโยก เดินขาปัด ไม่สามารถงอขา หรือลงน้ำหนักขาได้ปกติ

2. แขนขาชา จากเส้นประสาทไม่ไปเลี้ยงหรือทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้การรับความรู้สึกของผู้ป่วยลดน้อยลง เช่น ไม่รู้สึกร้อน-เย็น ไม่รู้สึกเจ็บ รู้สึกชาหนาๆ หรือในบางรายอาจมีอาการของเส้นประสาทที่ทำงานผิดปกติไป เช่น แสบร้อน เข็มแทง ไฟช็อต เป็นต้น

3. กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง เนื่องจากไม่ได้เคลื่อนไหว หรือใช้งานมัดกล้ามเนื้อนั้นๆ จึงทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งตัว และอาจทำให้มีอาการปวดกล้ามเนื้อตามมา หรือในผู้ป่วยบางรายที่เป็นเรื้อรังมาระยะหนึ่ง อาจเกิดภาวะกล้ามเนื้อลีบได้ เนื่องจากเส้นเลือด และเส้นประสาทไปเลี้ยงเซลล์กล้ามเนื้อน้อยลง ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อตาย และฝ่อลีบลงในที่สุด

4. ระบบขับถ่ายมีปัญหา เช่น ท้องผูก ไม่สามารถขับถ่ายได้เอง ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ เป็นต้น

5. อาการอื่นๆ เช่น พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง กลืนลำบาก ตาพร่ามัว งุนงง พูดตอบโต้ช้าลง และสื่อสารลำบาก เพราะเส้นประสาทที่ควบคุมพฤติกรรมเหล่านี้เสียหายไป

กลับสู่สารบัญ

การรักษาอาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง อ่อนแรง หรืออัมพฤกษ์ในปัจจุบัน

การรักษาอาการอัมพฤกษ์ที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน มีทั้งข้อดี และข้อเสียดังต่อไปนี้

  • การทานยาสมุนไพร/อาหารเสริม

การทานยาสมุนไพร หรืออาหารเสริมนั้น มีผลช่วยปรับทั้งระบบร่างกาย โดยจะช่วยในการฟื้นตัวของร่างกายเป็นหลัก ให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ และเพียงพอสำหรับการซ่อมแซม และฟื้นตัวเองได้ เพราะเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารที่ดี ก็จะทำให้เซลล์แข็งแรงขึ้น ส่งผลให้อาการโดยรวมค่อยๆ ดีขึ้นนั่นเอง

ในยาสมุนไพร หรืออาหารเสริมที่ช่วยแก้อัมพฤกษ์ได้นั้น มักจะเป็นยาที่มีสรรพคุณช่วยขับลมเป็นหลัก เพราะจะช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น และอาจเป็นยาระบายอ่อนๆ เพื่อช่วยแก้ภาวะท้องผูก รวมถึงช่วยให้เจริญอาหาร เพื่อให้ผู้ป่วยทานอาหารได้มากขึ้น ไม่ขาดสารอาหาร เป็นต้น

แต่ในปัจจุบัน มียาสมุนไพร และอาหารเสริมหลากหลายแบรนด์ บางครั้งอาจมีการโฆษณาเกินจริง จนทำให้ผู้ป่วยหลายท่านหลงเชื่อ และสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้นได้เลย รวมถึงยาบางชนิด อาจไม่ได้ขึ้นทะเบียนตรวจสอบอย่างถูกต้อง หรือไม่มี อ.ย. หรือมีการผสมสารสเตียรอยด์อยู่ด้วย ซึ่งมักจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นชั่วขณะ ระงับอาการปวดได้ทันที แต่กลับเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก

นอกจากนี้ยาสมุนไพรทั่วไป หากทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็อาจทำให้เกิดพิษต่อตับและไตได้ อย่างไรก็ตามการทานยาสมุนไพร หรืออาหารเสริมนั้น จะเป็นการรักษาโดยภาพรวม แต่ไม่ได้ช่วยรักษาจากสาเหตุหลักโดยตรง เพราะไม่สามารถช่วยฟื้นฟูเส้นประสาท หรือกล้ามเนื้อเฉพาะจุดได้ เช่น เส้นประสาทที่ควบคุมการกลืนน้ำลาย เส้นประสาทฝ่ามือที่ทำหน้าที่กำแบนิ้ว มัดกล้ามเนื้อบริเวณขาที่แข็งตัว และทำให้เดินขัด เดินโยก เป็นต้น

  • การทำกายภาพบำบัด

การทำกายภาพบำบัด เป็นการรักษาที่มุ่งเน้นการฝึกขยับ และฝึกใช้งานกล้ามเนื้อที่อ่อนแรงไป เพื่อให้เซลล์กล้ามเนื้อยังถูกใช้งานตลอด ป้องกันการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อในอนาคต และเป็นการเสริมสร้างให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการรักษาด้วยการใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น การใช้เครื่องกระตุ้นการทำงานของเส้นประสาท ไม่ว่าจะเป็นคลื่นแม่เหล็ก หรือกระแสไฟฟ้า เพื่อกระตุ้นให้เส้นประสาทที่เสียหายไปกลับมาทำงาน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องมือในการกระตุ้นการทำงานของเส้นประสาทนี้ เป็นการกระตุ้นทั้งระบบ แต่ไม่ได้กระตุ้นเจาะจงลงไปในจุดที่มีปัญหา จึงทำให้การรักษานั้นได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร ผู้ป่วยจึงยังคงมีความปวด แข็งเกร็ง อ่อนแรง หรือชา จากกล้ามเนื้อ และเส้นประสาทที่เสียหายไปอยู่นั่นเอง

การขยับ และฝึกใช้กล้ามเนื้อนั้น ถึงแม้ว่าจะช่วยให้ดีขึ้น แต่ผู้ป่วยจะดีขึ้นได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากการขยับ หรือฝึกการใช้งานนั้น เป็นการช่วยที่ปลายเหตุ เพราะตราบใดที่เส้นประสาทสั่งการยังคงทำงานผิดปกติ ผู้ป่วยก็จะยังไม่สามารถบังคับกล้ามเนื้อได้ปกติตามเดิม การรักษาที่มีประสิทธิภาพนั้น จึงควรเริ่มจากการฟื้นฟูให้เส้นระบบสั่งการของเส้นประสาทกลับมาทำงานให้ดีก่อน เมื่อเส้นประสาททำงานได้ตามปกติ ผู้ป่วยจะสามารถบังคับกล้ามเนื้อได้เป็นปกติเอง โดยอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้การกายภาพบำบัดช่วยเลยก็ได้

  • การฝังเข็ม

การฝังเข็ม เป็นศาสตร์ของการแพทย์แผนจีน ซึ่งมีหลักการในรักษาคือการกระตุ้นเลือดลม และพลังงานภายในร่างกายให้หมุนเวียนได้สะดวก โดยจะฝังเข็มลงตามตำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย เพื่อปรับให้เลือดลมภายในร่างกายกลับเข้าสู่สมดุล

แต่การฝังเข็มนั้นจะเป็นการรักษาที่โฟกัสไปเฉพาะในเรื่องของเลือดลม ซึ่งเป็นเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นในการรักษาอาการอัมพฤกษ์ การฝังเข็มไม่ได้เน้นเรื่องระบบกล้ามเนื้อ และเส้นประสาทที่เสียหายไป ไม่ได้โฟกัสลงไปแก้ไขในมัดกล้ามเนื้อ หรือเส้นประสาทที่มีความแข็งตัว และหดเกร็ง ดังนั้นการฝังเข็มจึงเหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการไม่มาก หรือผู้ที่ไม่มีภาวะอาการกล้ามเนื้อหดเกร็ง มือเกร็ง เป็นต้น

  • การนวดไทย

การนวดไทย เป็นศาสตร์การรักษาของแพทย์แผนไทย ด้วยวิธีการกดคลึง เพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อได้รับสารอาหาร และออกซิเจนอยู่ตลอด ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพ หรือกล้ามเนื้อลีบได้ เปรียบเสมือนการเตรียมกล้ามเนื้อให้พร้อม รอการฟื้นตัวของเส้นประสาทที่จะสั่งการมานั่นเอง

การรักษาด้วยการนวดไทยนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นการรักษาที่ดี แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ระบบเส้นประสาทได้ ไม่สามารถช่วยกระตุ้น และฟื้นฟูการทำงานของเส้นประสาทได้โดยตรง จึงทำให้ผู้ป่วย อาจยังไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงด้านการใช้งานที่ชัดเจนนัก อาจยังมีอาการอ่อนแรง ชา และอาจยังควบคุมการเคลื่อนไหวของแขนขาได้ไม่เต็มที่

  • การนวดฟื้นฟู และกระตุ้นเส้นประสาท

การนวดฟื้นฟู และกระตุ้นให้เส้นประสาทกลับมาทำงานได้ปกตินั้น เป็นการรักษาด้วยวิธีการนวดด้วยศาสตร์เฉพาะ เป็นวิธีการนวดกระตุ้นตามแนวเส้นประสาทที่มีปัญหา ไล่ตั้งแต่เส้นประสาทหลักจนถึงเส้นประสาทย่อย ส่งผลให้เส้นประสาทถูกกระตุ้นโดยตรง จึงเป็นการรักษาที่ค่อนข้างตรงจุด โดยเส้นประสาทที่ถูกกระตุ้นนั้น จะค่อยๆ ฟื้นตัวจากการบาดเจ็บจากเหตุการณ์เส้นเลือดในสมองตีบ/แตก และเริ่มกลับมาส่งสัญญาณประสาทได้อีกครั้ง เมื่อเซลล์ประสาทเริ่มส่งสัญญาณติดต่อกันเป็นระบบ ระบบประสาททั้งหมดจะสามารถกลับมาทำงานได้ปกติ ผู้ป่วยจะเริ่มควบคุม และบังคับกล้ามเนื้อตามแนวเส้นประสาทนั้นได้ดีอีกครั้ง

นอกจากนี้การนวดฟื้นฟูเส้นประสาทนั้นยังช่วยคลายปมกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวออก ส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัว และทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ปกติ ไม่ติดขัด เซลล์กล้ามเนื้อจึงได้รับออกซินเจน และสารอาหารได้เต็มที่ และค่อยๆ ฟื้นตัว กล้ามเนื้อที่ลีบไปจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ในสภาพเดิม ผู้ป่วยจะเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น มีแรงมากขึ้น การติดขัดขณะเคลื่อนไหวจะลดลง รวมถึงอาการปวดเกร็ง แข็ง ของมัดกล้ามเนื้อก็หายไปด้วย

แม้ว่าการรักษาด้วยวิธีการนวดฟื้นฟูและกระตุ้นเส้นประสาท ดูจะเป็นวิธีที่ครอบคลุม และรักษาอย่างตรงจุดก็จริง แต่ผลเสียของการรักษาด้วยวิธีนี้คือขณะรักษาผู้ป่วยจะรู้สึกค่อนข้างเจ็บ เนื่องจากการกระตุ้นเส้นประสาทที่เสียหายไปแล้ว ให้กลับมาทำงานปกติอีกครั้ง จะเกิดความเจ็บขณะกระตุ้น ดังนั้นการรักษาด้วยวิธีนี้จึงมีข้อจำกัดสำหรับผู้ที่ไม่สามารถทนเจ็บได้

กลับสู่สารบัญ

ทำไมการนวดฟื้นฟู และกระตุ้นให้เส้นประสาทกลับมาทำงานปกติ จึงให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

การนวดฟื้นฟู และกระตุ้นให้เส้นประสาทกลับมาทำงานปกติเป็นวิธีการรักษาด้วยศาสตร์การนวดที่ เพื่อการรักษาโดยเฉพาะ ซึ่งจะเน้นการนวดฟื้นฟู และกระตุ้นตามแนวเส้นประสาทที่เสียหาย เพื่อให้ร่างกายเกิดการซ่อมแซมตนเอง และเริ่มกลับมาทำงาน และส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ จนเกิดการส่งสัญญาณประสาทต่อเนื่องเป็นระบบ จนกลับมาทำงานได้ปกติ และสามารถสั่งการกล้ามเนื้อต่างๆ ได้ดังเดิม ผู้ป่วยจะสามารถกลับมาควบคุมกล้ามเนื้อ และใช้งานแขน/ขาได้เป็นปกติอีกครั้ง

เนื่องจากการนวดกระตุ้น และฟื้นฟูเส้นประสาทนี้ เป็นการแก้อาการจากสาเหตุหลัก และเป็นการรักษาที่ปรับเฉพาะ เพื่อให้เข้ากับอาการของผู้ป่วยแต่ละคน ดังนั้นผลการรักษาที่ได้จึงชัดเจน รวดเร็ว จนผู้ป่วยเองสามารถรู้สึกได้ถึงความแตกต่างจากการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ

การนวดกระตุ้น และฟื้นฟูเส้นประสาท ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผล

  • โดยปกติแล้ว ผู้ป่วยที่มีอาการมาไม่เกิน 6 เดือน จะเริ่มรู้สึกว่าอาการดีขึ้นและเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างชัดเจน ตั้งแต่การรักษาครั้งที่ 1-2
  • แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ/แตกมานานเกิน 6 เดือน กล้ามเนื้อจะฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้า เพราะเซลล์เส้นประสาทถูกทำลายไปค่อนข้างนานแล้ว ดังนั้นจะต้องใช้ระยะเวลาที่นานกว่าในการกระตุ้น ให้เส้นประสาทกลับมาทำงานได้ดังเดิม โดยมักจะเริ่มเห็นผลในครั้งที่ 4 เป็นต้นไป

ต้องรอนานแค่ไหน ถึงเริ่มทำการนวดฟื้นฟูได้

ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการนวดฟื้นฟู และกระตุ้นให้เส้นประสาทกลับมาทำงานปกติ จะเริ่มรักษาหลังจากมีภาวะเส้นเลือดในสมองตีบ/แตก หรือหลังจากอาการอัมพฤกษ์ 2 เดือนเป็นต้นไป เนื่องจากระยะเวลาช่วง 2 เดือนแรกนั้น เป็นช่วงที่ร่างกายเราสามารถฟื้นฟู และซ่อมแซมตัวเองได้

ในหลายท่านหากสุขภาพแข็งแรง และมีสภาพกล้ามเนื้อที่ดี การดูแลร่างกายให้ดี ก็จะสามารถช่วยให้อาการกลับมาเป็นปกติได้เอง ซึ่งในระยะ 2 เดือนแรกนี้ผู้ป่วยสามารถทำกายภาพบำบัด หรือนวดไทยทั่วไปก่อนได้ เพื่อเป็นการเตรียมกล้ามเนื้อให้พร้อม สำหรับการใช้งาน เมื่อเส้นประสาทสามารถกลับมาสั่งการได้ปกติ

แต่หากเลยระยเวลา 2 เดือนไปแล้ว ผู้ป่วยยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ หรือยังมีอาการค่อนข้างมาก อาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายไม่สามารถฟื้นตัวได้เองแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการนวดฟื้นฟู และกระตุ้นเส้นประสาท

กลับสู่สารบัญ

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนการนวดฟื้นฟู และกระตุ้นเส้นประสาท

ก่อนจะตัดสินใจนวดรักษาอาการอัมพฤกษ์จากภาวะเส้นเลือดในสมองตีบ/แตก ด้วยวิธีการนวดฟื้นฟูและกระตุ้นเส้นประสาทนั้น ผู้ป่วยควรพิจารณาสิ่งเหล่านี้ประกอบ

1. การนวดฟื้นฟูเส้นประสาท ถึงแม้ว่าจะสามารถทำให้อาการผู้ป่วยดีขึ้นได้เกือบปกติก็จริง แต่อาจไม่สามารถเห็นผลทันทีภายในครั้งเดียว

ในกรณีที่ผู้ป่วยเพิ่งเริ่มมีอาการ การนวดฟื้นฟู และกระตุ้นเส้นประสาทด้วยผู้ที่ชำนาญนั้น สามารถทำให้ดีขึ้นได้เลยภายในการรักษาเพียง 1-2 ครั้ง แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการเรื้อรังมาสักระยะหนึ่งแล้ว อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้อาการหายช้า หรือเร็วนั้นจะขึ้นอยู่กับ

ผู้รักษาที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษา เมื่อตรวจอาการแล้วจะรู้ทันทีว่าต้นเหตุของอาการอยู่ที่ใด และต้องแก้ที่ตำแหน่งใด ซึ่งจะแตกต่างผู้รักษาที่ไม่มีความชำนาญโดยสิ้นเชิง เพราะผู้ที่ไม่มีความรู้ ความชำนาญ จะไม่สามารถแยกได้ว่ากล้ามเนื้อ หรือเส้นประสาทที่มีความผิดปกตินั้น ผิดปกติเพราะอะไร และควรต้องแก้ไขอย่างไร การรักษาโดยผู้ที่ชำนาญการ จะให้ผลการรักษาที่รวดเร็ว แม่นยำ และตรงจุด จนผู้ป่วยรู้สึกได้เองถึงความแตกต่าง

  • ระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการมา

ผู้ป่วยที่มีอาการมานานเกิน 6 เดือน เซลล์ประสาทอาจเสียหายค่อนข้างมาก ทำให้การนวดฟื้นฟู และกระตุ้นให้เส้นประสาทกลับมาทำงานปกติทำได้ยากขึ้น ผู้ป่วยบางรายที่มีอาการมานานเป็นหลักปี จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย อาจต้องใช้เวลาในการนวดฟื้นฟู และกระตุ้นให้เส้นประสาทกลับมาทำงานปกติหลายครั้ง แต่ในผู้ป่วยที่เพิ่งเริ่มมีอาการไม่นานนั้น เซลล์ประสาทยังไม่เสียหาย 100% จึงใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่า ได้ผลที่ชัดเจนกว่า และหายไวกว่า

  • สภาพกล้ามเนื้อของผู้ป่วย

ผู้ป่วยแต่ละท่านมีสภาพกล้ามเนื้อที่แตกต่างกัน ทั้งเรื่องของความสามารถในการคลายตัว และการฟื้นตัวของเซลล์กล้ามเนื้อ และเส้นประสาท โดยผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อที่คลายตัวได้เร็ว หรือมีเซลล์กล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจน และไวกว่าผู้ป่วยที่กล้ามเนื้อที่คลายตัวช้า หรือเซลล์กล้ามเนื้ออ่อนแอ

2. การนวดฟื้นฟู และกระตุ้นให้เส้นประสาทกลับมาทำงานปกติมีความเจ็บ

เนื่องจากการนวดฟื้นฟู และกระตุ้นเส้นประสาทนั้น ไม่ได้เน้นเรื่องความผ่อนคลายจะเน้นไปที่การนวด เพื่อกระตุ้นเส้นประสาทที่เสียหายที่อยู่ทั้งในกล้ามเนื้อชั้นตื้น และชั้นลึกทั้งหมด ดังนั้น ขณะทำการรักษา ผู้ป่วยอาจจะรู้สึกเจ็บค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ต้องการรักษาด้วยวิธีนี้ จะต้องเป็นผู้ป่วยที่พอทนความเจ็บได้บ้าง หากเป็นผู้ที่ทนความเจ็บไม่ได้เลย อาจจะต้องเลือกการรักษาทางอื่นแทน

3. อาจเกิดการระบม หรือรอยฟกช้ำขึ้นหลังจากการนวด

การนวดฟื้นฟู และกระตุ้นเส้นประสาทนั้น อาจทำให้เกิดอาการระบมบริเวณผิวหนัง หรือมีรอยฟกช้ำขึ้นหลังการรักษา ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วอาการระบมและรอยฟกช้ำ จะเกินระยะเวลาประมาณ 3-10 วัน โดยจะระบมมาก-น้อย หรือฟกช้ำ มาก-น้อย แค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับร่างกายของผู้ป่วยแต่ละบุคคล

4. ค่าใช้จ่ายในการนวดฟื้นฟู และกระตุ้นเส้นประสาทนั้น ปกติจะสูงกว่าการนวดทั่วไป

โดยปกติแล้ว ค่าใช้จ่ายในการนวดฟื้นฟู และกระตุ้นให้เส้นประสาทกลับมาทำงานปกติจะสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการนวดทั่วไป เนื่องจากผู้ที่จะทำการนวดได้นั้น ไม่ใช่แค่ใครก็ได้ที่นวดแผนไทยเป็น แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญด้านกล้ามเนื้อ และเส้นประสาทในร่างกายมากกกว่าหมอนวดแผนไทยอย่างมาก ซึ่งผู้ที่มีประสบการณ์ และมีความชำนาญในด้านนี้จริงๆ มีจำนวนค่อนข้างน้อยในปัจจุบัน

ค่าใช้จ่ายสำหรับการนวดฟื้นฟู และกระตุ้นให้เส้นประสาทกลับมาทำงานปกติที่พบในปัจจุบันนั้น มีตั้งแต่ 500.- จนไปถึงหลักหมื่นบาท (xx,xxx) ต่อครั้ง ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรพิจารณาเปรียบเทียบข้อมูล และปัจจัยต่างๆ ของสถานที่นวดแก้อาการแต่ละแห่งว่าที่ใดมีความเชี่ยวชาญ สามารถรักษาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคุ้มค่าต่อผู้ป่วยมากที่สุด

กลับสู่สารบัญ

คำแนะนำส่งท้าย สำหรับผู้ที่กำลังมีอาการกล้ามเนื้อเกร็ง และอ่อนแรงจากภาวะเส้นเลือดในสมองตีบ/แตก หรืออัมพฤกษ์

สำหรับอาการอัมพฤกษ์ หรือแขนขาอ่อนแรง เป็นอาการที่สร้างความลำบากในการใช้ชีวิต เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวัน หรือช่วยเหลือตนเองได้ดังเดิม ผู้ป่วยจะรู้สึกเหมือนเป็นภาระให้กับคนรอบข้าง สภาพจิตใจของผู้ป่วยอัมพฤกษ์ในช่วงแรกนั้น จึงอาจมีความเครียด และกังวล ดังนั้นผู้ที่ดูแลอาจจะต้องทำความเข้าใจ และหาทางรับมือกับสภาวะอารมณ์ของผู้ป่วย

นอกจากนี้ ผู้ดูแลควรพยายามดูแลร่างกายผู้ป่วยให้ดี โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนแรกหลังจากอาการอัมพฤกษ์ เพราะร่างกายจะเริ่มฟื้นตัว ควรหมั่นนวด และฝึกให้ผู้ป่วยใช้งานกล้ามเนื้ออยู่เสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้อพร้อมสำหรับการฟื้นฟูขั้นต่อไป

สิ่งที่สำคัญที่ควรตระหนักอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อระยะเวลาผ่านไป ผู้ป่วยอัมพฤกษ์บางท่าน อาจมีภาวะหลอดเลือดสมองตีบ/แตกซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งสาเหตุหลักมักเกิดจากความดันโลหิตสูง ซึ่งผู้ป่วยมักจะละเลย และไม่ทานยาคุมไว้ ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองคือ ต้องควบคุมความดันโลหิตให้ปกติอยู่เสมอ เพราะหากโชคร้ายเป็นซ้ำอีกครั้ง อาการจะค่อนข้างรุนแรง และร่างกายมักฟื้นตัวได้ช้ากว่าผู้ป่วยที่มีอาการเพียงครั้งเดียวหลายเท่า