Office Syndrome ออฟฟิศซินโดรม ดีขึ้นถาวรได้ ด้วยการนวดสลายพังผืด และ Trigger Point

office syndrome

ประวัติการเจ็บป่วย

จากประวัติคุณจิราภรณ์ อายุ 35 ปี มีอาการปวดคอบ่าไหล่ทั้ง 2 ข้าง เป็นระยะเวลา 5 ปี จากการนั่งทำงานท่าเดิมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังมีอาการปวดร้าวลงแขน 2 ข้าง ปวดหลังล่าง และปวดร้าวขึ้นศีรษะข้างขวา ร่วมด้วย

ขอสรุปอาการของผู้ป่วยมี ดังนี้

  • ออฟฟิศซินโดรม Office Syndrome
  • ปวดคอ บ่า ไหล่ 2 ข้าง
  • ปวดแขน 2 ข้าง
  • ปวดหลังล่าง
  • ปวดศีรษะข้างขวา (ไมเกรน)

ผู้ป่วยมีอาการปวดเรื้อรังมานาน 5 ปี ซึ่งในระหว่างนั้น ผู้ป่วยได้เคยเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้

  • แพทย์แผนปัจจุบัน รักษาโดยการฉีดยาลดอาการปวดบริเวณหลัง
  • หลังเข้ารับการรักษาด้วยวิธีดังกล่าว ผู้ป่วยยังมีอาการอยู่ ไม่หายขาด

ผู้ป่วยจึงได้ค้นหาวิธีการรักษาแพทย์ทางเลือก และมาเจอกับชนัชพันต์คลินิกทาง Facebook และได้นัดเข้ามารักษากับทางคลินิก โดยหลังจากการรักษาผู้ป่วยมีอาการเปลี่ยนแปลงดังนี้

หลังเข้ารับการรักษากับทางคลินิกไป 2 ครั้ง :

  • ไม่มีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ 2 ข้างแล้ว
  • ไม่ปวดร้าวลงแขน 2 ข้างแล้ว
  • อาการปวดหลังหายไป
  • อาการปวดศีรษะข้างขวา (ไมเกรน) หายไป
  • ผู้ป่วยดีขึ้นได้นานประมาณ 1 ปี ก่อนกลับเข้ามารับการรักษาต่อในครั้งที่ 3
กลับสู่สารบัญ

ตำแหน่งกล้ามเนื้อ และเส้นประสาทที่พบปัญหาจากอาการออฟฟิศซินโดรม Office Syndrome

การนั่งทำงานท่าเดิมเป็นระยะเวลานานๆ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ สะบัก เกิดการตึง และเกร็งตัว จนเกิดเป็นปมในกล้ามเนื้อที่เรียกว่า Trigger point ขึ้น ซึ่งปม Trigger point นี้จะไปขัดขวางไม่ให้เลือดนำพาสารอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณนั้นๆ ได้เต็มที่ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเกิดการอักเสบลึกๆ และทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่คลายตัวออก ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกปวดเมื่อยคอ บ่า เป็นๆ หายๆ

และเมื่อกล้ามเนื้อบริเวณนั้น เริ่มมีการสะสมของ Trigger point มากขึ้น ร่างกายจะสร้างพังผืดไปเกาะคลุมบริเวณนั้นๆ ส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้น แข็งเป็นก้อน ไม่ยืดหยุ่น และหากปล่อยไว้ ไม่รักษา พังผืดจะเริ่มลุกลามไปบริเวณรอบข้าง จนไปรบกวน หรือกดทับเส้นเลือดที่ขึ้นไปเลี้ยงศีรษะ และพังผืดนี้อาจไปรบกวนเส้นประสาทที่เลี้ยงลงแขน ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดขึ้นศีรษะ และ ปวดลงแขน ในเวลาต่อมา

ซึ่งในเคสนี้ ผู้ป่วยมีปม Trigger point และ พังผืด ทั้งในบริเวณคอ บ่า แขน และหลัง ทำให้มีอาการปวดต้นคอ บ่า แขน และหลังเป็นๆ หายๆ และมีอาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือ ไมเกรน ร่วมด้วย

ซึ่งจะขออธิบายตำแหน่งของกล้ามเนื้อ และเส้นประสาทที่ส่งผลต่ออาการออฟฟิศซินโดรม Office syndrome ดังนี้

1. กลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ ได้แก่

  • กล้ามเนื้อ Scalene
  • กล้ามเนื้อ Sternocleidomastoid
  • กล้ามเนื้อ Splenius

2. กลุ่มกล้ามเนื้อหลังช่วงบน ได้แก่

  • กล้ามเนื้อ Iliocostalis cervicis และ Iliocostalis thoracis
  • กล้ามเนื้อ Trapezius

3. กลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณแขน ได้แก่

  • กล้ามเนื้อ Bicep brachii
  • กล้ามเนื้อ Triceps brachii

4. เส้นประสาทต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  • เส้นประสาท Radial nerve

5. เส้นเลือดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  • เส้นเลือด Temporal artery

1. กลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ ได้แก่

กล้ามเนื้อ Scalene

เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณด้านข้างต้นคอ ช่วง C2-C7 ไปจนถึงฐานคอ และบ่า มีส่วนสำคัญในการหมุนต้นคอ และทำให้คอตั้งตรง เมื่อกล้ามเนื้อมัดนี้ เกิดการตึงเกร็ง จะส่งผลให้มีอาการปวดบริเวณต้นคอ และหากกล้ามเนื้อมัดนี้ไปกดทับเส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียง จะส่งผลให้เกิดอาการปวดร้าวลงแขน

กล้ามเนื้อ Sternocleidomastoid

เป็นกล้ามเนื้อที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่บริเวณคอ ซึ่งจะลากยาวตั้งแต่ฐานกะโหลกผ่านต้นคอไปจนถึงไหปลาร้า มีหน้าที่ในการเอียงคอไปด้วยข้าง ช่วยในการก้มเงยศีรษะ อีกทั้งยังเป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ และการเคี้ยวอาหารอีกด้วย เมื่อเกิดการตึงเกร็ง อาจมีการไปกดทับเส้นเลือดบริเวณข้างเคียงที่ขึ้นไปเลี้ยงศีรษะ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้มีอาการปวดศีรษะข้างนั้นๆ

กล้ามเนื้อ Splenius

เป็นกล้ามเนื้อที่ลากจากฐานกระโหลก ผ่านต้นคอด้านหลังไปเกาะบริเวณหลังช่วง C7-T3 มีหน้าที่ในการช่วยให้คอนั้นสามารถตั้งตรงได้ เมื่อเกิดการตึงเกร็งจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดบริเวณต้นคอ

2. กลุ่มกล้ามเนื้อหลังช่วงบน ได้แก่

กล้ามเนื้อ Iliocostalis cervicis และ Iliocostalis thoracis

เป็นกล้ามเนื้อมัดลึกที่อยู่บริเวณคอช่วงล่าง และหลังช่วงบน มีหน้าที่ช่วยในการเอียงตัวไปด้านข้าง เมื่อกล้ามเนื้อมัดนี้เกิดการตึงเกร็ง จะส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณต้นคอช่วงล่าง และหลังช่วงบน

กล้ามเนื้อ Trapezius

เป็นกล้ามเนื้อรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนที่ลากยาวตั้งแต่บริเวณคอไปจนถึงช่วงหลัง มีหน้าที่ในการรักษาสมดุลช่วงคอ บ่า สะบัก และหลัง อีกทั้งยังช่วยยืดหลังให้ตั้งตรง เมื่อกล้ามเนื้อมัดนี้ เกิดการตึงเกร็ง จะส่งผลให้เกิดอาการปวดตั้งแต่ต้นคอ บ่า ร้าวลงหลัง

3. กลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณแขน ได้แก่

กล้ามเนื้อ Bicep Brachii

เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณต้นแขนด้านท้องแขน มีหน้าที่ในการงอข้อศอก และมีส่วนช่วยในการยกของ เมื่อเกิดการตึงเกร็ง จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดบริเวณต้นแขนด้านหน้า

กล้ามเนื้อ Triceps Brachii

เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณต้นแขนด้านหลัง ช่วยในการเหยียดแขน เมื่อเกิดการตึงเกร็ง จะส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณต้นแขนด้านหลังได้

4. เส้นประสาทต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

เส้นประสาท Radial nerve

เป็นเส้นประสาทที่รับความรู้สึกบริเวณแขนช่วงบน เมื่อเส้นประสาทนี้ถูกรบกวน หรือกดทับ จะส่งผลให้เกิดอาการปวดร้าวลงแขน แขนชา แขนอ่อนแรง

5. เส้นเลือดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

เส้นเลือด Temporal Artery

เป็นเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณศีรษะด้านข้าง เมื่อกล้ามเนื้อรอบๆ เกิดการตึงเกร็ง จนไปรบกวน หรือกดทับการทำงานของเส้นเลือดชุดนี้ จะส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณศีรษะ ซึ่งมักจะมีอาการปวดข้างเดียว และอาจมีอาการร้าวออกกระบอกตาได้ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “อาการปวดไมเกรน”

กลับสู่สารบัญ

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ Office Syndrome

อาการปวดเมื่อยบริเวณคอ และบ่า มักเป็นภาวะที่เกิดจากการทำงาน หรือการอยู่ในอิริยาบถที่ไม่ถูกต้องเป็นระยะเวลานานๆ การบาดเจ็บบริเวณคอ บ่า จากการออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา จนทำให้กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อบริเวณคอ บ่าเกิดอาการเกร็งตัว และมีปม trigger point เกิดขึ้น

ซึ่งปม trigger point นี้จะไปขัดขวางไม่ให้เลือดนำพาสารอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณนั้นๆ ได้เต็มที่ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเกิดอาการเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่คลายออก ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกเมื่อยคอบ่า เป็นๆ หายๆ และในที่สุดร่างกายจะเริ่มสร้างพังผืดเข้ามาเกาะรัดบริเวณดังกล่าว

เมื่อมีพังผืดเกาะรัดมากในระดับหนึ่ง กล้ามเนื้อ และข้อกระดูกบริเวณนั้นๆ จะเกิดอาการแข็ง ตึง ไม่ยืดหยุ่น อักเสบ เกิดอาการปวดตลอดเวลา เพราะเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณนั้นๆ ได้เต็มที่

และหากพังผืดมีการลุกลามไปยังบริเวณกล้ามเนื้อรอบข้าง ก็จะทำให้อาการปวดขยายบริเวณออกไป เช่น ไปที่สะบัก ลงไปที่หลัง เป็นต้น หากพังผืดที่เกาะรัดเริ่มหนาตัวจนไปรบกวนเส้นประสาท หรือเส้นเลือดบริเวณข้างเคียง ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการผิดปกติร้าวไปตามแนวของเส้นประสาทนั้นๆ เช่น อาการปวดร้าวขึ้นศีรษะไมเกรน และอาการร้าวลงแขน เป็นต้น

สาเหตุของการเกิดอาการออฟฟิศซินโดรม office syndrome มีดังนี้

1. การอยู่ในอิริยาบถที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรืออยู่ในท่าเดิมเป็นระยะเวลานาน

การอยู่ในอิริยาบถเดิมเป็นระยะเวลานานๆ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณคอ และบ่า เกิดการแข็ง และเกร็งตัว จนขมวดเป็นปม ที่เรียกว่า “Trigger Point” ซึ่งเมื่อกล้ามเนื้อที่ตึงเกร็งจนเกิดปมนี้ เส้นเลือดจะไม่สามารถนำพาออกซิเจน และสารอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณที่เกิดอาการเกร็งตัวได้เต็มที่ ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นๆ เกิดการอักเสบ และไม่คลายตัวออก ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการปวดเมื่อยบริเวณคอ บ่า ไหล่ โดยจะขอยกตัวอย่างพฤติกรรมที่ผู้ป่วยมักอยู่ในอิริยาบถที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรือท่าทางเดิม เป็นระยะเวลานานแล้วเกิดปัญหา ดังต่อไปนี้

  • การทำงานหน้าจอคอมนานๆ โดยที่กล้ามเนื้อต้นคอเกร็งอยู่ในท่าเดิมทั้งวัน
  • การที่จอคอมอาจไม่ได้อยู่ในระดับสายตา จึงทำให้ต้องมีการก้ม หรือเงยคออยู่ตลอดเวลา
  • การก้มใช้โทรศัพท์ การก้มคอทำงานเป็นระยะเวลานาน
  • การนอนตะแคงบนหมอนสูงๆ
  • การสะพายของหนักๆ บนบ่าเป็นประจำ หรือการแบกของหนักขึ้นบ่า
  • การขับรถในระยะทางไกลๆ ขับรถนานๆ หลายชั่วโมงติดต่อกัน

2. การบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย หรือจากการเล่นกีฬา

เมื่อเกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อคอ บ่า และกล้ามเนื้อหลังช่วงบน ขณะออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา กล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ จะเกิดการอักเสบ และเกร็งตัวขึ้น ซึ่งหากไม่รีบแก้ไข หรือยังคงเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายซ้ำๆ ต่ออีก จะส่งผลให้ร่างกายเริ่มสร้างพังผืดไปเกาะบริเวณที่เคยเกิดการบาดเจ็บ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการปวดขัด หรือปวดเกร็ง บริเวณคอบ่าไหล่

และหากพังผืดเริ่มไปเบียด หรือรบกวนเส้นประสาท หรือเส้นเลือดที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ผู้ป่วยจะมีอาการผิดปกติไปตามแนวเส้นเลือด หรือเส้นประสาทนั้นๆ เช่น ปวดร้าวขึ้นศีรษะ หรือ ปวดร้าวลงแขน เป็นต้น

โดยจะขอยกตัวอย่าง พฤติกรรมการออกกำลังกายที่มักทำให้มีอาการปวดคอบ่าไหล่ และกล้ามเนื้อรอบๆ

  • การออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาที่หนักเกินไป เช่น การยกเวทหนักๆ ที่เกินกว่ากล้ามเนื้อจะรับไหว
  • การที่ต้องซ้อมกีฬา และมีการเกร็งอยู่ในท่าเดิมนานๆ
  • การไม่ได้ยืดเหยียดร่างกายให้พร้อมก่อนการเล่นกีฬา
  • การออกกำลังกายที่ไม่ถูกท่า
  • การออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาแล้วผิดจังหวะ เช่นการทำท่า head stand แล้วเผลอหมุน/บิดคอ เป็นต้น
  • การได้รับการกระทบกระเทือนบริเวณคอบ่าขณะเล่นกีฬา เช่น การชกมวยโดนที่กราม/หน้า/ศีรษะ การเล่นบาสเก็ตบอลแล้วโดนกระแทกเข้าที่ไหล่ เป็นต้น
กลับสู่สารบัญ

ทำไมการนวดสลายพังผืด และ Trigger point จึงสามารถรักษาอาการออฟฟิศซินโดรม Office Syndrome ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากหัวข้อก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่า หากกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ และบ่า มีอาการเกร็งตัวอยู่เป็นระยะเวลานานจากการอยู่ในอิริยาบถเดิม หรือการออกกำลังกายแล้วเกิดการบาดเจ็บ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อคอ บ่า และ กล้ามเนื้อรอบๆ มีความตึงเกร็งจนขมวดเป็นปม กลายเป็น Trigger point ส่งผลให้เลือดนำสารอาหาร และออกซิเจน ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า และกล้ามเนื้อรอบๆ ได้ไม่เต็มที่ กล้ามจะไม่คลายตัวออก เกิดเป็นการอักเสบสะสมอยู่ด้านใน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และกล้ามเนื้อช่วงหลัง

เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า และ กล้ามเนื้อรอบๆ เกิดอาการเกร็งตัวเป็นระยะเวลานานๆ ร่างกายจะเริ่มสร้างพังผืดขึ้นมาเกาะบริเวณที่มีการตึงเกร็งนั้นๆ กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวจะเกิดอาการแข็ง ไม่ยืดหยุ่น ขยับได้ไม่อิสระ ส่งผลให้เกิดการอักเสบ และปวดขัดเวลาขยับคอ บ่า และหลัง และหากพังผืดบริเวณดังกล่าวเริ่มไปกดทับเส้นประสาทบริเวณรอบข้าง ผู้ป่วยจะเกิดอาการผิดปกติไปตามแนวเส้นประสาทนั้นๆ ซึ่งในเคสนี้คือ อาการปวดลงแขน

อีกทั้ง ในเคสนี้ ผังผืดยังมีการไปกดทับ หรือรบกวนการไหลเวียนของเส้นเลือดที่เลี้ยงขึ้นศีรษะ ทำให้เส้นเลือดไม่สามารถส่งอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะได้เต็มที่ ผู้ป่วยจึงมีอาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือไมเกรน

ดังนั้นวิธีที่จะสามารถรักษาอาการออฟฟิศซินโดรม หรืออาการปวด คอ บ่า ไหล่ หลัง ร้าวขึ้นศีรษะ และร้าวลงแขน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องเป็นวิธีที่กำจัดพังผืด และ Trigger point ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการออฟฟิศซินโดรม Office syndrome ที่แท้จริง และด้วยวิธีนวดแก้อาการของทางคลินิกนั้น จะโฟกัสการนวดไปที่การสลายพังผืด และ Trigger point บริเวณ กล้ามเนื้อต้นคอ บ่า ไหล่ หลัง และแขน ที่เกิดอาการตึงเกร็ง จากการที่มี trigger point และ การที่มีพังผืดไปเกาะรัด ซึ่งเป็นการแก้ไขอาการที่รวดเร็ว และตรงจุด โดยไม่ต้องผ่าตัด

โดยเมื่อพังผืด และ Trigger point ถูกสลายออกแล้ว กล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ หลัง และ แขน ก็จะคลายตัวออกอย่างถาวร เลือดก็จะสามารถนำพาสารอาหาร และออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงเซลล์กล้ามเนื้อได้ตามปกติ กล้ามเนื้อที่เคยแข็งตึง ก็จะกลับมาเคลื่อนไหวได้เป็นอิสระเหมือนเดิม อาการผิดปกติตามแนวเส้นเลือด และเส้นประสาท ซึ่งได้แก่ อาการปวดลงแขน และอาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือ ไมเกรน ก็จะหายไป ผู้ป่วยจะกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติอีกครั้ง โดยไม่มีอาการกลับมาปวดซ้ำๆ และสามารถกลับไปออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาได้เต็มที่ โดยไม่มีข้อห้าม หรือข้อจำกัดใดๆ

กลับสู่สารบัญ

ข้อควรรู้ก่อนการนวดสลายพังผืด และ Trigger point

การนวดสลายพังผืด และ Trigger point เป็นวิธีการนวดแก้อาการด้วยศาสตร์เฉพาะของทางคลินิก ซึ่งจะแตกต่างจากการนวดไทยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง เพราะการรักษาของทางคลินิกจะเน้นกำจัดสาเหตุหลักของอาการออฟฟิศซินโดรม Office syndrome อย่างถาวร

อย่างไรก็ตามการรักษานี้ ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของความเจ็บขณะนวด ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องเป็นผู้ที่สามารถทนต่อความเจ็บได้ระดับหนึ่ง ซึ่งหากผู้ป่วยสามารถทนเจ็บได้มาก คุณหมอจะสามารถสลายพังผืด และ Trigger point ออกได้มาก ทำให้สามารถเห็นผลการรักษาที่ดีขึ้นได้อย่างชัดเจนในระยะเวลาอันรวดเร็ว

นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่จะบอกได้ว่าผู้ป่วยจะหายเร็ว หรือช้านั้น คือระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการมา ซึ่งถ้าหากผู้ป่วยเพิ่งเริ่มมีอาการแล้วรีบมารักษา การรักษาจะง่าย และเห็นผลค่อนข้างไว แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้ป่วยมีอาการเรื้อรัง หรือปล่อยให้มีอาการเป็นๆ หายๆ มาหลายครั้งโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง การรักษาก็จะยาก และกินเวลานานหลายครั้ง

สำหรับผู้ป่วยที่สนใจมารักษาสามารถอ่านข้อพึงระวังในการรักษาด้วยวิธีสลายพังผืด และ Trigger point ได้ที่นี่ สิ่งที่ต้องรู้ ก่อนเข้ารับการรักษา ด้วยวิธีนวดแก้อาการสลาย Trigger point

กลับสู่สารบัญ

บทส่งท้าย

อาการออฟฟิศซินโดรม office syndrome หรือ อาการ ปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง และแขนนั้น สามารถเกิดขึ้นได้จากการทำกิจกรรม หรือกิจวัตรประจำวันที่ทำเป็นประจำ หรือจากการออกกำลังกาย จนทำให้กล้ามเนื้อบริเวณ คอ บ่า ไหล่ และ หลัง เกิดการเกร็งตัว แข็งตึง และอักเสบสะสมเรื้อรังจนเกิด Trigger point และเกิดพังผืดไปเกาะรัด

ซึ่งอาการออฟฟิศซินโดรมนี้ สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้อย่างถาวรด้วยการแก้ปัญหาจากต้นเหตุ ซึ่งก็คือการสลาย trigger point และพังผืดออก และหากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ พังผืด และ Trigger point จะถูกสลายออกได้ง่ายและรวดเร็ว เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน และจะไม่เป็นๆ หายๆ เรื้อรัง และจะไม่ทรุดหนักจนกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่านี้ เช่นกลายเป็นภาวะกระดูกคอทับเส้นประสาท กระดูกคอทรุด หรือกระดูกคอเสื่อม ในอนาคต