ประวัติการเจ็บป่วย
จากประวัติคุณณัฐธิดา อายุ 34 ปี มีพฤติกรรมนั่งทำงานหน้าคอมท่าเดิม เป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมงติดต่อกัน ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ สะบัก ทั้ง 2 ข้าง โดยจะปวดข้างขวามากกว่า และมีอาการปวดแขนซ้าย แขนซ้ายล้าๆ เหมือนไม่ค่อยมีแรง ปวดร้าวชาปลายนิ้วนางและนิ้วก้อยซ้าย อาการ เป็นๆหายๆ มาตลอด 1 ปี ซึ่งผู้ป่วยได้ไปรับการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน โดยแพทย์ได้มีการ X-ray และวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องของ “กระดูกคอเสื่อม”
ขอสรุปอาการของผู้ป่วยมี ดังนี้
- แพทย์ทำการ x-ray และวินิจฉัยว่าเป็นภาวะ กระดูกคอเสื่อม
- ปวดคอ บ่า ไหล่ สะบัก ทั้ง 2 ข้าง
- ปวดร้าวลงแขนซ้าย
- แขนซ้ายล้าๆ เหมือนไม่ค่อยมีแรง
- ชาปลายนิ้วนาง และนิ้วก้อยข้างซ้าย
ผู้ป่วยมีอาการเรื้อรังมานาน 1 ปี ซึ่งในระหว่างนั้น ผู้ป่วยก็เคยเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้
- กายภาพบำบัด จำนวน 10 ครั้ง
- ด้วยการดึงคอ ดึงหลัง และ Ultrasound Wave
- อาการของผู้ป่วยดีขึ้นชั่วคราว แต่กลับมาเป็นอีก
ผู้ป่วยจึงได้ลองค้นหาวิธีการรักษาแพทย์ทางเลือกอื่นๆ ที่สามารถรักษาอาการกระดูกคอเสื่อมได้จากใน Facebook จนมาเจอกับ ชนัชพันต์คลินิก จึงได้ตัดสินใจมาเข้ารับการรักษา โดยมีอาการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
หลังเข้ารับการรักษาไป 2 ครั้ง :
- ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นได้นาน 2 เดือน
- อาการปวดตึงคอ บ่า ไหล่ ลดลง
- แต่ยังมีอาการชาแขน และแขนล้าๆ อยู่
หลังเข้ารับการรักษาครั้งที่ 6 :
- ผู้ป่วยอาการดีขึ้นมาก และดีได้นาน 6 เดือน
- อาการปวดคอ บ่า ไหล่ เหลือน้อยจนเป็นที่น่าพอใจ
- แขนมีแรงปกติ ไม่มีอาการล้า
- ไม่มีอาการชาแขน ชามือแล้ว
- ไม่มีอาการปวดลงแขนแล้ว
ตำแหน่งกล้ามเนื้อ และเส้นประสาทที่พบปัญหาจากอาการกระดูกคอเสื่อม
สำหรับผู้ป่วยท่านนี้ มีอาการกระดูกคอเสื่อม ปวด คอ บ่า สะบัก ทั้ง 2 ข้าง ปวดแขน และชาปลายนิ้วซ้าย บริเวณนิ้วนาง และนิ้วก้อย ซึ่งสาเหตุเกิดจากการที่ผู้ป่วย นั่งทำงานท่าเดิมเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้กล้ามเนื้อ คอบ่า สะบัก เกิดการตึง และเกร็งตัว จนทำให้ร่างกายสร้างพังผืดไปเกาะคลุมบริเวณที่กล้ามเนื้อเกร็งตัว ส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้น แข็งเป็นก้อน ไม่ยืดหยุ่น และหากปล่อยไว้ ไม่รักษา พังผืดจะเริ่มลุกลามไปบริเวณรอบข้าง
ซึ่งในเคสนี้ มีพังผืดส่วนหนึ่งได้ลุกลามไปเกาะคลุมบริเวณข้อกระดูกคอ จึงทำให้ข้อกระดูกไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระ ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการตึงเมื่อย ปวดคอเรื้อรัง ซึ่งเมื่อทำ mri หรือ x-ray จะพบว่าบริเวณข้อกระดูกที่ถูกพังผืดเกาะคลุมอยู่นั้นดูเสื่อมลง หรือที่เรียกว่าภาวะ กระดูกคอเสื่อม นั่นเอง
ซึ่งจะขออธิบายตำแหน่งของกล้ามเนื้อ และเส้นประสาทที่ส่งผลต่ออาการกระดูกคอเสื่อม ปวอคอ บ่า สะบัก ปวดแขน แขนชา แขนล้า นิ้วชา ดังนี้
- กลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ ได้แก่ กล้ามเนื้อชิดกระดูกข้อ C5-C6-C7 และกล้ามเนื้อ Scalene
- กลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณสะบัก ได้แก่ กล้ามเนื้อ Supraspinatus และ
กล้ามเนื้อ Infraspinatus - กลุ่มกล้ามเนื้อหลังช่วงบน ได้แก่ กล้ามเนื้อ Trapezius กลุ่มกล้ามเนื้อ
Rhomboid - เส้นประสาทต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เส้นประสาท Brachial Plexus และ เส้นประสาท Ulnar nerve
1. กลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ
1.1. กล้ามเนื้อชิดกระดูกข้อ C5-C6-C7 อยู่บริเวณชิดกระดูกต้นคอใกล้กับช่วงบ่า มีหน้าที่ในการ ยึดกระดูกคอแต่ละข้อให้ชิดกัน และพยุงกระดูกคอให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
เมื่อกล้ามเนื้อกระดูกชิด C5-C6-C7 มีความตึงตัว จะส่งผลให้เกิดการดึงรั้งของกระดูกคอให้หดเกร็งเข้าหากัน และไปรบกวนหมอนรองกระดูกคออยู่ระหว่างข้อกระดูก ส่งผลให้มีอาการปวด ตึง เมื่อ แนวต้นคอ
1.2. กล้ามเนื้อ Scalene ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณซอกคอด้านข้าง เป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก 3 ชุด มีหน้าที่ในการหมุนคอ เอียงศีรษะ และก้มศีรษะ
เมื่อกล้ามเนื้อ scalene เกิดการตึงตัวจนไปกดทับเส้นประสาท จะมีอาการร้าวไปบริเวณคอ บ่า ไหล่ สะบัก และมีอาการร้าวลงแขนไปปลายนิ้วนาง และนิ้วก้อยเนื่องจาก กล้ามเนื้อมัดนี้ทำให้การกดทับของเส้นประสาทที่รุนแรงขึ้น
2. กลุ่มกล้ามเนื้อชิดสะบัก
2.1. กล้ามเนื้อ Supraspinatus
เป็นกล้ามเนื้อบริเวณขอบบนของสะบัก และหัวไหล่ ช่วยในการยก และกางแขน หากมีการยกของหนัก หรือต้องกางแขนนานๆ จะทำให้เกิดการตึงเกร็งของกล้ามเนื้อชุดนี้ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดสะบักช่วงบน รวมถึงปวดไหล่
2.2. กล้ามเนื้อ Infraspinatus
เป็นกล้ามเนื้อขอบสะบักด้านใน ทำหน้าที่ช่วยพยุงให้ข้อไหล่อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง และช่วยในการหมุนหัวไหล่ หากกล้ามเนื้อมัดนี้มีอาการตึงเกร็ง จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดสะบักด้านใน
3. กลุ่มกล้ามเนื้อหลังช่วงบน
3.1 กล้ามเนื้อ Trapezius
เป็นกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ที่ครอบคลุม ตั้งแต่ต้นคอ จนถึงกึ่งกลางหลัง และครอบคลุมไปถึงสะบักทั้ง 2 ข้าง มีหน้าที่ในการช่วงดึงกล้ามเนื้อคอ และหลังให้ตั้งตรง ซึ่งหากผู้ป่วยมีอาการตึงเกร็งของกล้ามเนื้อ Trapezius ช่วงบน ผู้ป่วยมักจะมีอาการตึงคอ บ่า และไหล่
3.2 กลุ่มกล้ามเนื้อ Rhomboid
ซึ่งจะประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อ Rhomboid Minor และ กล้ามเนื้อ Rhomboid Major ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อยึดระหว่างสะบัก 2 ข้าง เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อ ที่ช่วยในการทำท่าดึง และยกของเข้าหาลำตัว
ดังนั้นหากกลุ่มกล้ามเนื้อ Rhomboid เกิดอาการเกร็งตัว จะทำให้มีอาการปวดร้าวบริเวณขอบสะบักด้านใน (ด้านที่ใกล้กับกระดูกสันหลัง)
4. เส้นประสาทต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
4.1 เส้นประสาท Brachial Plexus
เป็นเส้นประสาทที่อยู่บริเวณคอ ทอดผ่านรักแร้ และแขน เป็นเส้นประสาทที่มีการแตกแขนงออกไปอีกหลายเส้นบริเวณแขน ซึ่งหนึ่งในเส้นประสาทที่แตกแขนงออกจาก Brachial Plexus คือ เส้นประสาท Ulnar nerve ซึ่งมีหน้าที่ในการเลี้ยงกล้ามเนื้อ และรับความรู้สึกบริเวณแขน และนิ้วมือ
ดังนั้น เมื่อเส้นประสาท Brachial Plexus ถูกกดทับจากกล้ามเนื้อ scalen ที่ตึงตัว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวด คอ บ่า สะบัก และมีอาการปวดร้าว หรือชาไปตามเส้นประสาท Ulnar nerve
4.2 เส้นประสาท Ulnar nerve
จะอยู่บริเวณตั้งแต่แขนท่อนบนไปจนถึงปลายนิ้วมือ (นิ้วก้อย นิ้วนาง และนิ้วกลาง) ซึ่งมีหน้าที่รับความรู้สึกบริเวณฝ่ามือ นิ้วก้อย นิ้วนาง และนิ้วกลาง
ดังนั้นเมื่อเส้นประสาท Ulnar nerve ถูกรบกวน หรือถูกกดทับ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดร้าวที่บริเวณแขน แขนล้า แขนอ่อนแรง ชาแขน หรือชานิ้วก้อย นิ้วนาง นิ้วกลาง
กลับสู่สารบัญสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการกระดูกคอเสื่อม
กระดูกคอเสื่อม มักเป็นภาวะที่เกิดจากการทำงาน หรือการอยู่ในอิริยาบถที่ไม่ถูกต้องเป็นระยะเวลานานๆ การบาดเจ็บบริเวณต้นคอจากการออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา หรือสามารถเกิดจากอุบัติเหตุกระแทก หรือมีการเหวี่ยงสะบัดของกระดูกต้นคอ ทำให้กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อบริเวณต้นคอได้รับการบาดเจ็บ และมีการสร้างพังผืดเข้ามาเกาะคลุมบริเวณดังกล่าว ทำให้กล้ามเนื้อ และข้อกระดูกบริเวณนั้นๆ เกิดอาการแข็ง ตึง ไม่ยืดหยุ่น เลือดไม่สามารถนำพาสารอาหาร และออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณนั้นๆ ได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เกิดการอักเสบ และมีอาการปวดคอ บ่า เกิดขึ้น
และหากพังผืดมีการลุกลามไปยังบริเวณกล้ามเนื้อรอบข้าง ก็จะทำให้เกิดอาการปวดบ่า สะบัก ตามมา หากพังผืดที่เกาะคลุมเริ่มหนาจนไปรบกวนเส้นประสาทบริเวณข้างเคียง ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการผิดปกติร้าวไปตามแนวของเส้นประสาทนั้นๆ เช่น ปวดร้าวลงแขน ชาแขน แขนล้า แขนอ่อนแรง และชานิ้ว เป็นต้น
สาเหตุของการเกิดกระดูกคอเสื่อมมีดังนี้
1. การอยู่ในอิริยาบถที่ไม่ถูกสุขลักษณะเป็นเวลานานๆ หรือใช้งานกล้ามเนื้อต้นคอในท่าเดิมนานๆ เช่น
- การทำงานหน้าจอคอมนานๆ โดยที่กล้ามเนื้อต้นคอเกร็งอยู่ในท่าเดิมทั้งวัน
- การที่จอคอมอาจไม่ได้อยู่ในระดับสายตา จึงทำให้ต้องมีการก้ม หรือเงยคออยู่ตลอดเวลา
- การก้มใช้โทรศัพท์ การก้มคอทำงานเป็นระยะเวลานาน
- การนอนตะแคงบนหมอนสูงๆ
- การสะพายของหนักๆ บนบ่าเป็นประจำ หรือการแบกของหนักขึ้นบ่า
ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว ส่งผลให้กล้ามเนื้อคอ และบ่า เกิดอาการอ่อนล้า และเกร็งตัว จนเกิดเป็นปมที่เรียกว่า Trigger Point ซึ่งเมื่อเกิดปมนี้ ร่างกายจะไม่สามารถนำพาออกซิเจน และสารอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณที่เกิดอาการเกร็งตัวได้เต็มที่ ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นๆ เกิดการอักเสบ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการปวดบริเวณคอ เป็นๆหายๆ และเมื่อมีการอักเสบขึ้นเรื่อยๆ จะเริ่มมีพังผืดมาเกาะบริเวณนั้นๆ ซึ่งจะยิ่งทำให้เลือดไม่สามารถนำพาออกซิเจน และสารอาหารไปเลี้ยงได้ เนื้อเยื่อบริเวณนั้นๆ จะเริ่มแข็งเป็นก้อน ไม่ยืดหยุ่น
2. การได้รับอุบัติเหตุ ได้แก่
2.1 การประสบอุบัติเหตุในยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นการชนรถผู้อื่น หรือถูกรถผู้อื่นชน รถยนต์พลิกคว่ำ เป็นต้น
การประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น ในหลายๆ ครั้ง ไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะกระดูกคอเสื่อมในทันที แต่มักจะเป็นเหตุให้เกิดภาวะกระดูกคอเสื่อมในภายหลัง โดยเมื่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น ข้อกระดูกต้นคอจะถูกเหวี่ยงสะบัด และเกิดบาดเจ็บไปแล้ว แต่ในผู้ป่วยหลายๆ เคส ไม่ได้มีอาการปวดคอ ปวดบ่า ทันที หรืออาจจะมีแค่อาการคอเคล็ดเล็กน้อย และดีขึ้นเองในภายหลัง ทั้งนี้เพราะ ตรงบริเวณที่ได้รับการบาดเจ็บนั้น ยังไม่มีพังผืดมาเกาะหนาในทันที ผู้ป่วยจึงจะยังไม่มีอาการปวดคอหนักๆ และกว่าผู้ป่วยจะเริ่มรู้ตัวว่าตนเองมีอาการปวดคอบ่าหนักๆ ก็มักจะเป็นเวลาหลายปีต่อมา เพราะพังผืดเริ่มเกาะคลุมเนื้อเยื่อบริเวณข้อกระดูกต้นคอจนหนา ทำให้ข้อกระดูกเกิดอาการแข็งเกร็ง ไม่ยืดหยุ่น ปวด และอักเสบ และพัฒนาเป็นกระดูกคอเสื่อมในที่สุด
2.2 การถูกกระแทก หรือกระชากบริเวณคอบ่า ไหล่ หรือการล้มแล้วเอาไหล่ หรือแขนกระแทกพื้น
การประสบอุบัติเหตุในลักษณะนี้ แม้ว่าผู้ป่วยจะไม่ได้มีแผล และรอยฟกช้ำ หรืออาจจะมีแต่แผล หรือรอยฟกช้ำเล็กน้อย และเมื่อได้มีการทำ x-ray หรือ mri หลังการประสบอุบัติเหตุแล้ว อาจไม่พบว่ามีการเคลื่อนของกระดูกคอก็ตาม แต่ข้อกระดูกต้นคออาจได้รับการกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ ส่งผลให้มีการอักเสบบริเวณเรื้อเยื่อรอบๆ ข้อกระดูก และทำให้มีการก่อตัวของพังผืดสะสมไปเรื่อยๆ จนลุกลามเข้าข้อกระดูกคอ ทำให้ข้อกระดูกคอเกิดอาการแข็ง ไม่ยืดหยุ่น มีการอักเสบ และมีอาการปวดเกิดขึ้น และกลายเป็นกระดูกคอเสื่อมในที่สุด
3. การบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย หรือจากการเล่นกีฬา
- การออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาที่หนักเกินไป เช่น การยกเวทหนักๆ ที่เกินกว่ากล้ามเนื้อจะรับไหว
- การที่ต้องซ้อมกีฬา และมีการเกร็งอยู่ในท่าเดิมนานๆ
- การไม่ได้ยืดเหยียดร่างกายให้พร้อมก่อนการเล่นกีฬา
- การออกกำลังกายที่ไม่ถูกท่า
- การออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาแล้วผิดจังหวะ เช่นการทำท่า head stand แล้วเผลอหมุน/บิดคอ เป็นต้น
- การได้รับการกระทบกระเทือนบริเวณคอบ่าขณะเล่นกีฬา เช่น การชกมวยโดนที่กราม/หน้า/ศีรษะ การเล่นบาสเก็ตบอลแล้วโดนกระแทกเข้าที่ไหล่ เป็นต้น
เมื่อเกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อคอบ่าขณะออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา กล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ จะเกิดการอักเสบ และเกร็งตัวขึ้น หากไม่รีบแก้ไข ร่างกายก็จะเริ่มสร้างพังผืดที่เกาะบริเวณที่เคยเกิดการบาดเจ็บ ซึ่งหากปล่อยไว้จนพังผืดลุกลามไปเบียด หรือรบกวนเส้นประสาทที่เลี้ยงลงแขน และมือ ผู้ป่วยจะมีอาการผิดปกติไปตามแนวเส้นประสาทนั้นๆ เช่น ปวดแขน แขนชา แขนอ่อนแรง นิ้วชา
แต่หากพังผืดลุกลามไปเกาะบริเวณข้อกระดูกต้นคอ จะทำให้กระดูกต้นคอเกิดอาการแข็ง ไม่ยืดหยุ่น ขยับได้ไม่อิสระ ส่งผลให้เกิดการอักเสบ และอาการปวดเวลาขยับคอ และสามารถพัฒนากลายเป็น กระดูกคอเสื่อมได้ในอนาคต
กลับสู่สารบัญทำไมการนวดสลายพังผืด จึงสามารถรักษาอาการกระดูกคอเสื่อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากหัวข้อก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่า หากกล้ามเนื้อต้นคอมีอาการเกร็งตัวอยู่เป็นระยะเวลานานจนเกิดการบาดเจ็บ และอักเสบ หรือการที่ต้นคอได้รับแรงกระแทก หรือการเหวี่ยงสะบัดจนเกิดเป็นการอักเสบซ้ำๆ จะส่งผลให้เนื้อเยื่อรอบๆ กระดูกต้นคอมีพังผืดไปเกาะ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตึงต้นคอ และสามารถกลายเป็นภาวะกระดูกคอเสื่อมได้
และเมื่อใดก็ตามที่พังผืดได้ลุกลามไปเบียด หรือรบกวนเส้นประสาทที่เลี้ยงลงแขน และมือ ผู้ป่วยจะมีอาการผิดปกติไปตามแนวเส้นประสาทนั้นๆ เช่น ปวดแขน แขนชา แขนอ่อนแรง นิ้วชา
เมื่อพังผืดลุกลามไปเกาะบริเวณข้อกระดูกต้นคอ จะทำให้กระดูกต้นคอเกิดอาการแข็ง ไม่ยืดหยุ่น ขยับได้ไม่อิสระ ส่งผลให้เกิดการอักเสบและ อาการปวดเวลาขยับคอ และสามารถพัฒนากลายเป็น กระดูกคอเสื่อมได้ในอนาคต
ดังนั้นวิธีที่จะสามารถรักษาอาการกระดูกคอเสื่อมได้มีประสิทธิภาพ จะต้องเป็นวิธีที่กำจัดพังผืด ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการเสื่อมได้ และด้วยวิธีนวดแก้อาการของทางคลินิกนั้น จะโฟกัสการนวดไปที่การสลายพังผืดบริเวณ กล้ามเนื้อต้นคอ บ่า และสะบัก รวมไปถึง เนื้อเยื่อรอบข้างข้อกระดูกต้นคอ ที่เกิดอาการแข็ง เกร็งตัว จากการที่มีพังผืดไปเกาะคลุม ซึ่งเป็นการแก้ไขอาการที่รวดเร็ว และตรงจุด โดยไม่ต้องผ่าตัด
โดยเมื่อพังผืดถูกสลายออกแล้ว กล้ามเนื้อก็จะคลายตัวอย่างถาวร เลือดก็จะสามารถนำพาสารอาหาร และออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงเซลล์กล้ามเนื้อได้ตามปกติ ข้อต่อที่เคยแข็ง ก็จะกลับมาเคลื่อนไหวได้เหมือนเดิม อาการปวดเกร็ง และอาการอักเสบก็จะหายไป ผู้ป่วยก็จะกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ และจะไม่กลับมาเป็นซ้ำๆ อีกในอนาคต สามารถกลับไปออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาได้เต็มที่ โดยไม่มีข้อห้าม หรือข้อจำกัดใดๆ
รีวิวการรักษาอื่นๆ เพิ่มเติม
ข้อควรรู้ก่อนการนวดสลายพังผืด
การนวดสลายพังผืด เป็นวิธีการนวดแก้อาการด้วยศาสตร์เฉพาะของทางคลินิก ซึ่งจะแตกต่างจากการนวดไทยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง เพราะการรักษาของทางคลินิกจะเน้นกำจัดสาเหตุหลักของอาการกระดูกคอเสื่อมอย่างถาวร
อย่างไรก็ตามการรักษานี้ ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของความเจ็บขณะนวด ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องเป็นผู้ที่สามารถทนต่อความเจ็บได้ระดับหนึ่ง ซึ่งหากผู้ป่วยสามารถทนเจ็บได้มาก คุณหมอจะสามารถสลายพังผืดออกได้มาก ทำให้สามารถเห็นผการรักษาที่ดีขึ้นได้อย่างชัดเจนในระยะเวลาอันรวดเร็ว
นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่จะบอกได้ว่าผู้ป่วยจะหายเร็ว หรือช้านั้น คือระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการมา ซึ่งถ้าหากผู้ป่วยเพิ่งเริ่มมีอาการแล้วรีบมารักษา การรักษาจะง่าย และเห็นผลค่อนข้างไว แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้ป่วยมีอาการเรื้อรัง หรือปล่อยให้มีอาการเป็นๆ หายๆ มาหลายครั้ง โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง การรักษาก็จะยาก และกินเวลานานหลายครั้ง
สำหรับผู้ป่วยที่สนใจมารักษาสามารถอ่านข้อพึงระวังในการรักษาด้วยวิธีสลายพังผืด ได้ที่นี่ สิ่งที่ต้องรู้ ก่อนเข้ารับการรักษา ด้วยวิธีนวดแก้อาการสลายพังผืด
กลับสู่สารบัญบทส่งท้าย
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า อาการกระดูกคอเสื่อม สามารถเกิดขึ้นได้จากการทำกิจกรรม หรือกิจวัตรประจำวันที่ทำเป็นประจำ ที่ทำให้กล้ามเนื้อต้นคอเกิดการเกร็งตัว แข็งตึง และอักเสบสะสมเรื้อรังจนเกิดพังผืดไปเกาะคลุม และเมื่อพังผืดลุกลามไปเกาะข้อกระดูกต้นคอ จะทำให้สามารถพัฒนาไปเป็นภาวะกระดูกคอเสื่อมได้
ซึ่งหากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ พังผืดจะถูกสลายออกได้ง่าย และเร็ว อาการปวดคอจะดีขึ้นได้รวดเร็ว และจะไม่เรื้อรังจนกลายเป็น กระดูกคอเสื่อมในอนาคต
แต่ในเคสของคุณณัฐธิดา ผู้ป่วยรู้ตัวเมื่อเริ่มเข้าสู่ภาวะกระดูกคอเสื่อมแล้ว ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการรักษาที่ค่อนข้างนานเมื่อเทียบกับอาการปวดคอทั่วๆ ไป แต่ผู้ป่วยเองก็มีการตอบสนองต่อการรักษาที่ดีขึ้น ถึงแม้จะต้องรักษาหลายครั้ง ซึ่งหากผู้ป่วยเข้าใจในหลักการการรักษาว่าในเคสกระดูกคอเสื่อมนั้น อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษามากครั้งกว่าเคสทั่วไป และมารักษาจนพังผืดสลายออกหมด ก็มักจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีอย่างถาวร และไม่กลับมาเป็นซ้ำๆ อีกในอนาคต